ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สามมหาราช ตอนที่ ๑๒



                                                                                  
                                                                                  ตอนที่ ๑๒ สงครามครั้งสุดท้าย


             ฝ่ายนัดจินหน่อง  ราชบุตรพระเจ้าตองอูได้วางยาพิษ ปลงพระชนม์เจ้าหงสาวดีนันทบุเรงและอุปราชาจนสิ้น  พระเจ้าตองอูนั้นสามารถต้านทานทัพจากอโยธยาได้จนต้องถอยกลับไป ก็คิดตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ ในขณะเดียวกันนั้น  เจ้านะยองรามโอรสพระเจ้าบุเรงนอง อนุชาต่างมารดาของพระเจ้านันทบุเรง  ทราบข่าวการสวรรคตของพระเจ้านันทบุเรงพระเชษฐา จึงประกาศตนเป็นรัชทายาท สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และให้อังวะที่พระองค์ประทับอยู่เป็นกรุงของอาณาจักร ขณะเดียว ทางด้านพระเจ้าตองอูก็ประกาศตนเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรต่อจากพระเจ้านันทบุเรง บรรดาเจ้าเมืองในอาณาจักรทั้งหลายนั้นต่างไม่เชื่อถือพระเจ้าตองอู  เพราะต่างเชื่อว่าพระเจ้าตองอูเป็นผู้ปราบดาภิเษกและปลงพระชนม์พระเจ้านันทบุเรง จึงจะพากันยกทัพมาโจมตีตองอู แต่พระเจ้าตองอูมีหนังสือตราตั้งประทับตราพระราชลัญจกรพระเจ้านันทบุเรง  เจ้าเมืองทั้งหลายจึงพากันยกทัพกลับไปและเมื่อทราบว่าเจ้านะยองรามโอรสพระเจ้าบุเรงนองเป็นพระอนุชาพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงประทับอยู่อังวะ  และประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์ต่อจากพระเจ้านันทบุเรงปี พ.ศ.๒๑๔๓นั้น พระเจ้าอังวะนะยองรามก็ทำพิธีอภิเษก เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า พระเจ้าสีหสุธรรมราชาบรรดาเจ้าเมืองต่างพากันเข้าด้วย ยกเว้น  เมืองมอญและไทยใหญ่ที่เข้าสวามิภักดิ์กรุงศรีอโยธยา อาณาจักรอังวะที่ยิ่งใหญ่จึงแตกเป็นสามพวก  คือ พระเจ้าตองอู  พวกหนึ่ง  พระเจ้าแปรซึ่งตั้งแข็งเมืองมาแต่ครั้งพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง พวกหนึ่ง  และพระเจ้าอังวะอีกพวกหนึ่ง อาณาจักรอโยธยาก็ว่างศึกกับอาณาจักรอังวะถึงสามปี  ดินแดนอังวะทางภาคใต้  ตั้งแต่กรุงหงสาวดีลงมา ตกเป็นประเทศราชของอโยธยา  ส่วนอังวะสถาปนาเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต่อจากหงสาวดีดินแดนทางพม่าเหนือ อันประกอบด้วยรัฐไทยใหญ่ต่าง ๆ นั้น  ตั้งแต่รัฐแสนหวี เมืองนาย  เมืองหาง   ยอมเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระนเรศวรแล้ว  อาณาเขตอโยธยาทางด้านทิศเหนือ จึงขยายไปจนต่อกับยูนาน กาลต่อมาพระเจ้าแปรร่วมกับพระเจ้าตองอูคิดกำจัดเจ้าอังวะแต่ระหว่างเตรียมกองทัพอยู่นั้นพระเจ้าแปรถูกลอบปลงพระชนม์ พระเจ้าตองอูจึงยอมสวามิภักดิ์กับพระเจ้าอังวะสีหสุธรรมราชา พระเจ้าอังวะสีหสุธรรมราชาจึงรวมอาณาจักรพม่าเข้าไว้อีกครั้งและ คิดฟื้นฟูอำนาจอาณาจักรพม่าให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนสมัยพระราชบิดาของพระองค์ประเทศราชและเมืองต่างๆที่แข็งเมืองปกครองตนเองนั้น  พระองค์มีดำหริจัดทัพไปปราบปรามให้หมดสิ้น บรรดาเมืองไทใหญ่  แต่เดิมเคยขึ้นอยู่กับพระเจ้านันทบุเรง  ครั้นสิ้นพระเจ้านันทบุเรงอาณาจักรพม่าแตกเป็น ๓ฝ่าย  ก็พากันตั้งแข็งเมือง  เมืองใดที่อยู่ใกล้เขตแดนอาณาจักรอโยธยา ก็พากันมายอมขึ้นแก่อโยธยา  ครั้นพระเจ้าอังวะมีอำนาจขึ้นเป็นกษัตริย์  พวกที่อยู่ใกล้แดนพม่า ก็กลับมายอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าอังวะ  อีกหลายเมืองยังคงตั้งแข็งเมืองอยู่ไม่ขึ้นกับใคร  พระเจ้าอังวะจึงยกกองทัพไปปราบปรามบรรดาเมืองไทใหญ่  ตีได้หัวเมืองไทใหญ่   ที่ตั้งตัวเป็นอิสระได้มาตามลำดับ จนมาถึงเมืองนายประเทศราชของอโยธยา แล้วตีได้เมืองแสนหวีเพิ่มขึ้นอีก สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราชทรงทราบก็ขัดเคือง  จึงดำรัสสั่งให้เกณฑ์ไพร่พลเพื่อไปปราบเมืองอังวะ ได้ไพร่พล ๑๐๐,๐๐๐ คน  จะเสด็จยกไปตีเมืองอังวะ กองทัพอโยธยากำหนดเส้นหลักการรุกเข้าตีอังวะทางเมืองแหงอาณาจักรล้านนาเชียงใหม่  ข้ามแม่น้ำสาละวินที่เมืองแหง ผ่านฉาน ไปเมืองอังวะ  เมื่อถึงฤกษ์เดินทัพในวันพฤหัส แรม ๘ ค่ำเดือนยี่ปีมะโรง พ.ศ.๒๑๔๘ พระองค์กับสมเด็จพระเอกาทศรถ  นำทัพหลวงจากพระนครศรีอโยธยาศรีรามเทพนครด้วยทัพบกและทัพเรือถึงที่รวมพลเมืองเชียงใหม่ ก็กะเกณฑ์ไพร่พลจากประเทศราชต่างๆทั้งล้านนา ทั้งมอญได้ไพร่พลเพิ่มอีก ๑๐๐,๐๐๐  บำรุงทัพอยู่ในที่รวมพล ๑ เดือนโปรดให้ตั้งเป็นทัพหลวงและทัพหนุนเมื่อพร้อมแล้วจึงเคลื่อนพล ให้กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง  ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองแหง เมืองงาย เมืองหาง ครั้นเสด็จถึงเมืองหางแล้วก็ให้ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว  สมเด็จพระนเรศวรประชวนเป็นฝี ขึ้นที่พระพักตร์ เป็นไข้พระอาการหนัก ติดเชื้อโรคด้วยตรากตรำ จึงโปรดให้ข้าหลวง รีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า  สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึงได้ ๓วัน  สมเด็จพระนเรศวรก็เสด็จสวรรคต เมื่อ วันจันทร์ ขึ้น๘ ค่ำ เดือน ๖ปีมะเส็ง(เป็นวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๑๔๘)  พระชันษา๕๐ ปี  เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี เมื่อจัดการถวายพระเพลิงพระศพของพระเชษฐาธิราชเจ้าเสร็จแล้วรวมพระอัฐินำกลับพระนคร พระเอกาทศรถจึงรับสั่งเคลื่อนทัพกลับกรุงศรีอโยธยาเจ้าไทยใหญ่จึงให้ก่อกองมูขุนหอคำไตยขึ้นตรงที่ถวายพระเพลิงนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๑๔๘ พระองค์ไม่มีทั้งโอรสและธิดาพระ
อนุชาเอกาทศรถก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่๑๙  แห่งกรุงศรีอยุธยา และรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์สุโขทัย
ในปลายรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเวลานั้นอาณาจักรอังวะแต่ก่อน แยกกันเป็นหลายเจ้าปกครอง ข้างเหนือเมืองอังวะพระเจ้านะยองรามก็ตั้งเป็นอิสระ ต่อลงมาทางตะวันตกพระเจ้าแปรก็ตั้งเป็นอิสระ หัวเมืองข้างใต้เมืองหงสาวดีแถบตะวันออกก็เป็นอาณาเขตของอาณาจักรศรีอโยธยา พระเจ้าตองอูกับพระเจ้ายะไข่เป็นไมตรีกันสนิทก็ตั้งตนอิสระ พระเจ้าตองอูซึ่งตั้งตัวเป็นพระเจ้าหงสาวดีคงมีอาณาเขต แต่ตอนกลาง ลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ พระเจ้ายะไข่จึงให้โปตุเกสชื่อฟิลิบเดอบริโต ซึ่งฝากตัวอยู่กับพระเจ้ายะไข่ มาอยู่รักษาเมืองซีเรียม ฟิลิบเดอบริโต ชักชวนพวกโปตุเกสมาอยู่ด้วยมากขึ้น แต่แรกทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายแลเก็บส่วยส่งพระเจ้าตองอู และค้าขายด้วย ครั้นได้กำไรมีกำลังมากขึ้น ก็คิดตั้งตนเป็นใหญ่ มาเป็นไมตรีกับพระยาทะละ เข้ามาสวามิภักดิ์ขอขึ้นต่อกรุงศรีอโยธยาด้วยพระยาทะละ ปกครองหัวเมืองมอญซึ่งขึ้นกรุงศรีอโยธยาในเวลานั้น ฟิลิบเดอบริโตได้กำลังพระยาทะละสนับสนุน จึงตั้งแข็งเมือง ไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้ายะไข่ และพระเจ้าตองอูพระเจ้ายะไข่กับพระเจ้าตองอูจึงให้พระมหาอุปราชาทั้ง ๒ เมือง ยกกองทัพลงมาตีเมืองซีเรียม มาแพ้ฟิลิบเดอบริโต จับพระมหาอุปราชาเมืองยะไข่ได้ พระเจ้ายะไข่กับพระเจ้าตองอูจึงต้องยอมหย่าทัพ ปล่อยให้ฟิลิบเดอบริโตครองเมืองซีเรียม                       ฝ่ายเมืองอังวะ พระเจ้านะยองราม สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกับสมเด็จพระนเรศวร ราชโอรสได้เป็นพระเจ้าอังวะแทน พระเจ้าอังวะองค์นี้เก่งในการสงคราม ตั้งกองทัพอังวะยกไปตีเมืองแปร เมืองตองอูได้ จึงรวบรวมกำลังลงมาตี ได้เมืองซีเรียมแล้ว จะยกมาตีเมืองเมาะตะมะ พระยาทะละเห็นจะสู้พระเจ้าอังวะไม่ได้ ก็ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะให้พระยาทะละครองเมืองเมาะตะมะอย่างเดิม แต่เอาพระยาพระรามลูกพระยาทะละ ซึ่งครองเมืองเยไปไว้เป็นตัวประกัน และโปรดให้เจ้าจะกายะแมงพระอนุชา มารักษาเมืองเย เมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๑๕๖ สมเด็จพระเอกาทศรถให้เจ้าเมืองทวายยกกองทัพไปตีเมืองเย จับเจ้าจะกายะแมงได้ ส่งเข้ามากรุงศรีอโยธยา
ด้วยเมืองหงสาวดีนั้นร้างมาแต่ครั้งพระเจ้านันทบุเรงอพยพไปตองอู แต่การติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติต้องเข้าแม่น้ำลึกเข้าไปในแผ่นดินมาก หงสาวดีนั้นเหมาะสมที่จะเป็นเมืองท่ามากกว่าเมืองอื่นๆพระเจ้าอังวะจึงลงมาบูรณะสร้างวังต่างๆตั้งเมืองหงสาวดีเป็นราชธานีอย่างแต่ก่อน ที่เคยรวมอยู่ในอาณาจักรครั้งพระเจ้านันทบุเรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระเจ้าอังวะจึงคิดรวบรวมบรรดาเมืองต่างๆโดยเฉพาะเมืองต่างๆของชนชาวมอญที่อยู่ติดทะเลและปากน้ำอิรวดี ปากน้ำสะโตง เพราะการเป็นเมืองท่าของอังวะจะมีอุปสรรคอย่างมากจากเมืองมอญเหล่านี้ที่สวามิภักดิ์กับอยุธยาทำให้อยุทธยาควบคุมเมืองท่าทั้งอ่าวเมาะตะมะและอ่าวบางปลากด ถ้าไม่จัดการนับวันอังวะจะสูญสิ้นความมั่งคั่งจากการเก็บส่วยสาอากร ซึ่งตกอยู่ในมือของเมืองมอญพันธมิตรอยุธยาดังนั้น จึงยกกองทัพหลวงลงมาจากหงสาวดีเข้าตีเมืองเมาะตะมะ ส่วนอีกกองทัพไพร่พล ๔๐,๐๐๐ ให้ยกลงมาตีเมืองทวาย ตีเมืองทวายยึดได้แล้วเดินทัพลงมาตีเมืองตะนาวศรี พระเอกาทศรถจึงจัดกองทัพกรุงศรีอโยธยายกออกไปช่วย เจ้าพระยาพิษณุโลก กับพระยาสุโขทัยเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาสวรรคโลก กับพระยาพิไชย เป็นทัพหนุนตีกองทัพอังวะถอยมาจากเมืองตะนาวศรี แล้ว ติดตามทัพอังวะต่อไปทางเมืองเมาะตะมะ อังวะตั้งรับสู้รบกันกองทัพกรุงศรีอโยธยาไม่สามารถหักเอาทัพอังวะได้จึงต้องถอยทัพกลับมาตั้งที่ตะนาวศรีส่วนอังวะยึดเมาะตะมะตั้งมั่นอยู่เมื่อทัพกรุงศรีอโยธยาต้องถอยกลับจากเมาะตะมะได้ไม่นานพระเจ้าอังวะจึงยกลงมาตีตะนาวศรี ครั้งนี้ชนะทัพอยุธยายึดตะนาวศรีไว้ได้
ด้านพระเจ้าเชียงใหม่มังนรธาช่อถึงพิราไลยลงในช่วงนั้นพอดี พระเจ้าเชียงใหม่นี้ ได้ถวายราชธิดาแด่สมเด็จ พระเอกาทศรถ แลถวายราชโอรสชื่อพระทุลอง ลงมาทำราชการอยู่ที่กรุงศรีอโยธยา ได้เป็นราชบุตรเขยของสมเด็จพระเอกาทศรถ พระทุลอง ยังมีอนุชาอีก ๒ องค์ ชื่อพระไชยทิพย์และ พระสะโด๊ะกะยอ เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่พิราไล ยสมเด็จพระเอกาทศรถจึงโปรดให้พระทุลองกลับขึ้นไป ครองเมืองเชียงใหม่ แต่บังเอิญพอไปถึงเมือง พระทุลองไปป่วยไข้ ไม่ทันจะได้ครองเมืองก็ถึงแก่กรรม พวกท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่จึงยก พระไชยทิพย์ขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ แต่ครองเมืองอยู่ไม่นาน เกิดเหตุผิดใจกับท้าวพระยาผู้ใหญ่ พวกท้าวพระยาจึงบังคับให้พระไชยทิพย์ออกบวช ยก สะโด๊ะกะยอ น้องคนเล็กขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ ในเวลานั้น ทัพพระเจ้าอังวะยังตั้งอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ ทราบข่าวว่าเกิดเกี่ยงแย่งกันครองราชย์เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อทัพอโยธยาต้องถอนตัวจากทางเมืองตะนาวศรีแล้ว พระเจ้าอังวะนะยองยานก็ยกกองทัพจากตะนาวศรี ขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๑๕๗ ทัพเมืองเชียงใหม่ตั้งทัพสู้กับทัพ พระเจ้าอังวะที่ตั้งล้อมเมืองนครลำปางไว้ ทัพอังวะขาดเสบียงอาหาร เจ้าเมืองน่านที่แข็งเมืองกับเชียงใหม่ยกทัพและเสบียงมาสนับสนุนทัพอังวะ ขณะพระเจ้าอังวะตั้งล้อมเมืองนครลำปางอยู่นั้น พระเจ้าเชียงใหม่นะโด๊ะกะยอล้มป่วยถึงแก่พิราไลย ไม่มีคนบัญชาการทัพได้  ท้าวพระยาเมืองเชียงใหม่ จึงมายอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะตั้งให้พระยาน่านครองเมืองเชียงใหม่ แล้วเลิกทัพกลับไป เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๓
สมัยของพระเอกาทศรถทรงมีภาพผู้นำคู่พระเชษฐานเรศวรราชาให้ไพร่ฟ้า ขุนนาง ขุนทหาร เจ้าฟ้า เจ้าเมือง เจ้าประเทศราชได้เห็นและเกรงในความเก่งกล้าสามารถ และเฝ้ามองการสืบราชบรรลังค์ช่วงปลายรัชกาลของพระองค์ที่จะเปลี่ยนถ่ายอำนาจ  พระราชโอรส ในสมเด็จพระเอกาทศรถมี ๒พระองค์ คือเจ้าฟ้าสุทัศทรงดำรงตำแหน่งอุปราช(มีดวงตาพิการ บางครั้งสับสนในประวัติศาสตร์ นำบุคลิกมาเล่าความเป็นพระเจ้าเอกทัศ) และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ และมีโอรสกับสนม ๑องค์ คือพระอินทรราชา บวชเป็นพระภิกษุ ทั้ง ๓ องค์มีวัยไล่เลี่ยกัน เมื่อบ้านเมืองปกติสุข ไร้สงครามมีผลประโยชน์จากการค้าต่างประเทศกับจีน ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฮอลันดา การสืบต่ออำนาจจึงมีการวางแผนจากขุนนางที่ได้ประโยชน์จากการถือข้าง เจ้าฟ้าสุทัศในวัยหนุ่มย่อมมีความสามารถโดยตำแหน่งอุปราชที่ราชบิดาแต่งตั้งและสั่งกิจการงานราชการเพื่อปลูกฝังให้สืบต่ออำนาจเป็นผู้สืบราชบรรลังค์โดยถูกต้องอันดับ ๑ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์พระอนุชา อันดับ ๒ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์นั้น แต่ยามบ้านเมืองปกติสุขงานราชการพระอุปราชผู้พี่เป็นผู้บริหารทั้งสิ้น เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์มีพระบุคลิกค่อนข้างอ่อนแอและไม่สนพระทัยเกี่ยวกับราชการบ้าน เมืองเลย ย่อมแสวงหาแต่ความสนุกสนานตามประสา และรัชทายาทอันดับ ๓ คือพระอินทราชาโอรสจากสนม (พระสนมเป็นน้องสาวของออกญาศรีธรรมมา ตัวออกญาศรีธรรมมามีบุตรชายคือ จหมื่นศรีสรรักษ์)ซึ่งโดยส่วนพระองค์แล้วเป็นผู้มีสติปัญญาดี แต่โดยสายเลือดการขึ้นครองราชย์แทบจะไม่มีโอกาสเอาเลยดังนั้นจึงผนวชจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุจนได้สมณะฐานันดรเป็น พระพิมลธรรม อนันตปรีชา ทรงเชี่ยวชาญทางด้านพระพุทธศาสนา มีลูกศิษย์และขุนนางข้าราชการนิยมชมชอบไม่น้อย ในกาลก่อนนั้นการบวชอาจเป็นการแสดงประสงค์ว่าหลีกทางให้ สองพี่น้อง ไม่ประสงค์แย่งชิงราชสมบัติ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นช่วงปลายรัชกาล มีข่าวการขบถลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวเอกาทศรถ โดยหลักฐานพุ่งเป้าไปที่เจ้าฟ้าสุทัศน์ พระอุปราช จนมีการกุมตัวและลงโทษประทานยาพิษจนสิ้นพระอุปราชสืบต่อราชบรรลังค์ พระองค์ครองราชย์ได้ ๕ ปี ก็สวรรคต ราชสมบัติจึงตกที่เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระสรรเพชญ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงศรีอยุธยา และรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์สุโขทัย ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น โดยเรือของญี่ปุ่นที่เข้ามาค้าขาย ได้ปล้นราษฎร ได้บุกเข้าไปในพระนคร และเข้าไปในพระราชวังหลวง จับสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์และบังคับให้ทรงปฏิญาณสัญญาว่ามิให้ผู้ใดทำร้ายพวกญี่ปุ่น แล้วได้ลงเรือแล่นหนีออกทะเล โดยนำตัวสมเด็จพระสังฆราชไปเป็นตัวประกันจนถึงปากน้ำเนื่องจากทรงบริหารราชการบ้านเมืองไม่เป็นไปตามปกติบกพร่องหลายประการขาดความปรีชา อาจไม่สมประโยชน์กับเหล่าขุนนางขณะครองราชย์อยู่ได้หนึ่งปีเศษมีเหล่าขุนนางจำนวนมากนิยมชมชอบพระพิมลธรรมอนันตปรีชาไปมาหาสู่ยังตำหนักมิได้ว่างเว้น บรรดาเหล่าขุนนาง ขุนทหาร จหมื่นศรีสรรักษ์(มหาดเล็กในพระเอกาทศรถ)และบรรดาลูกศิษย์ของท่านได้ซ่องสุมกันที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุแล้วนำกำลังจากวัดมุ่งเข้าวังหลวงกุมตัวสมเด็จพระสรรเพชญ์ ได้แล้วสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๔ พระบรมศพถูกนำไปฝังที่วัดโคกพระยา แล้วทูลเชิญพระอินทราชาให้ทรงลาสิกขาบท ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ แห่งกรุงศรีอโยธยาศรีรามเทพนครเมื่อปีขาล พ.ศ.๒๑๕๔ ทรงพระนามสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถบรมราชา   เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา และเป็นพระองค์ที่ ๕ แห่งราชวงศ์สุโขทัยหรือพระเจ้าทรงธรรมและทรงแต่งตั้งพระพันปีศรีศิลป์พระอนุชาเป็นพระมหาอุปราช  โปรดให้จมื่นศรีสรรักษ์เลื่อนเป็นจมื่นสรรเพชญ์ภักดี และได้เลื่อนเป็นออกญาศรีวรวงศ์ ตำแหน่งจางวางมหาดเล็ก จมื่นศรีสรรักษ์ผู้นี้มีบทบาทมากในราชสืบต่อราชบรรลังค์ของรัชทายาทต่อจากพระเจ้าทรงธรรม
เริ่มต้นรับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วจึงได้เลื่อนเป็นหุ้มแพร และได้เลื่อนเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ เมื่อจมื่นศรีสรรักษ์มีอายุได้ ๑๓ ปี ได้ไปก่อเหตุทำร้ายพระยาแรกนาแล้วหนีไปหลบอยู่ในวัด พระเจ้าอยู่หัวเอกาทศรถจึงให้จับตัวออกญาศรีธรรมาผู้เป็นบิดาไปขัง จมื่นศรีสรรักษ์จึงเข้ามามอบตัว มีรับสั่งให้จับไปขังคุก ๕ เดือน แต่ เจ้าขรัวมณีจันทร์ พระชายาม่ายในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมาทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทน จมื่นศรีสรรักษ์จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมารับราชการตามเดิม แต่จมื่นศรีสรรักษ์ก็ยังก่อเรื่องวุ่นวายอีกจนถูกจำคุกอีกสองหน ต่อมาได้เลื่อนเป็นจมื่นสรรเพชญ์ภักดี และได้เลื่อนเป็นออกญาศรีวรวงศ์ ตำแหน่งจางวางมหาดเล็ก(ออกญาคือพระยา นั่นเอง)  เป็นขุนนางที่พระเจ้าทรงธรรมไว้วางพระราชหฤทัยอย่างมากจึงทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจางวางมหาดเล็ก และเป็นพี่เลี้ยงให้โอรสพระเชษฐากุมารเพื่อเป็นองค์รัชทายาทสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชโอรส ๙ พระองค์ พระราชธิดา ๘ พระองค์พระราชโอรสกับพระมเหสีได้แก่ พระเชษฐากุมาร และ พระอาทิตยวงศ์ รัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรมไม่มีการปราบปรามประเทศราชที่ตั้งตนแข็งเมือง มีสงครามเล็กๆเมื่ออังวะมาตีเมืองทวายประเทศราชในราชอาณาจักร มีแต่งานบริหารราชการ ไม่มีงานการทัพขนาดใหญ่ ด้านทหาร ตกต่ำไม่มีความเข้มแข็ง ทำให้เกณฑ์ทัพไปช่วยทวายไม่ทัน ด้วยเหตุนี้กรุงศรีอยุธยาจึงต้องเสียเมืองทวาย เมื่อ พม่ายกกำลังมาตีเมืองทวายได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๖๕ต่อมา กัมพูชาและเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็นเมืองประเทศราชมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรต่างก็พากันแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา โดยที่พระเจ้าทรงธรรมไม่ยอมส่งกองทัพไปปราบปรามแต่อย่างใด เรื่องการสืบทอดอำนาจของราชวงศ์และการวางตำแหน่งขุนนางจึงเริ่มมีปัญหาในการแบ่งฝ่ายกัน ไม่สามัคคีกัน เหมือนเมื่อยามเกิดศึกสงครามจาก ต่างอาณาจักร ให้บังเอิญที่อังวะยังไม่มีกษัตริย์ที่เข้มแข็งจึงไม่มีสงครามต่อกรุงศรีอโยธยาแต่เค้าลางก็เริ่มโดยอังวะเริ่มเข้าตียึดเมืองต่างๆที่อยู่ในอำนาจปกครองของอโยธยา  ตอนปลายรัชสมัยของพระองค์ ขณะที่พระองค์ประชวรหนักได้คิดว่าหากพระองค์ไม่จัดการสิ่งใดๆเพื่อที่จะให้พระโอรสคือพระเชษฐาธิราชกุมาร ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสมบัติต้องตกอยู่กับพระมหาอุปราชพระอนุชาของพระองค์โดยแน่แท้ แต่พระโอรสทั้ง ๒ องค์ยังเยาว์วัยนัก จึงทรงมอบหมายให้ออกญาศรีวรวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ซึ่งไว้วางพระทัยเป็นผู้ดูแลพระเชษฐากุมารจนกว่าจะได้ครอง ราชย์ พระองค์จึงประกาศเรียกประชุมเหล่าขุนนางผู้ใหญ่เพื่อแต่งตั้งองค์รัชทายาทซึ่งเหล่าขุนนางมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย   สนับสนุนพระเชษฐาธิราช พระโอรสองค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๔ ชันษา  กับสนับสนุนพระศรีศิลป์มหาอุปราช พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม ฝ่ายนี้มี ออกญากลาโหม ออกญาท้ายน้ำ ออกหลวงธรรมไตรโลก ออกพระศรีเนาวรัตน์และออกพระจุฬาราชมนตรี สนับสนุน ยังสรุปเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดมิได้ พระเจ้าทรงธรรมจึงรับสั่งให้ออกญาศรีวรวงศ์จางวางมหาดเล็ก แจ้งให้บรรดาเสนาบดีทราบว่า มีพระราชประสงค์ให้พระเชษฐาธิราชได้ครองราชสมบัติ ออกญาศรีวรวงศ์จึงแจ้งให้เหล่าขุนนางทราบว่าทรงให้พระเชษฐาธิราชครองราชย์ต่อ วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๗๑ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต ทรงครองราชย์ได้ ๑๗ปี จากนั้นราชสำนักจัดพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาโดยมีขุนนางทั้งปวงร่วมพิธีระหว่างพิธีจึงเกิดการรบกันขึ้น ระหว่าง พระศรีศิลป์มหาอุปราชซึ่งมีกำลังทหารมากอยู่ กับฝ่ายพระเชษฐาธิราชกุมาร มีออกญาศรีวรวงศ์กับ ออกญาเสนาภิมุข เป็นกำลังสำคัญพร้อมทหารอาสาชาวญี่ปุ่นของออกญาเสนาภิมุข สามารถจับพระศรีศิลป์ได้ จึงสำเร็จโทษเสีย จากนั้นออกญาศรีวรวงศ์จึงควบคุมการปกครอง ออกคำสั่งให้จับออกญากลาโหมกับขุนนางที่สนับสนุนพระศรีศิลป์ ไปประหารชีวิตที่ท่าช้าง แล้วริบทรัพย์สมบัติมาแจกจ่ายผู้มีความชอบ เสร็จศึกภายในพระเชษฐาธิราชกุมาร จึงได้ราชสมบัติขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราชพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๒ แห่งกรุงศรีอโยธยารัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์สุโขทัยซึ่งขณะนั้นมีพระชนม์มายุได้ ๑๕ พรรษา และทรงแต่งตั้งออกญาศรีวรวงศ์ให้ เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม แทนเจ้าพระยามหาเสนาบดีที่ถูกประหารเป็นพี่เลี้ยงช่วยการบริหารราชการทั้งปวง บรรดาเหล่าขุนนางไม่สามารถถวายรายงานราชการทั้งปวงถึง  ยุวกษัตริย์ได้โดยตรง ต้องผ่านเจ้าพระยากลาโหมทั้งหมด เป็นที่ขัดเคืองอิจฉาริษยาของเหล่าขุนนางจำนวนมากจึงมีผู้ไปกราบทูลเรื่องเจ้าพระยากลาโหมคิดการใหญ่จนเวลาผ่านไปใกล้ ปีเศษ ยุวกษัตริย์มีพระชันษามากขึ้นฟังความมาว่าน่าจะเป็นจริง ก็คิดระแวงในตัวเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ว่าจะคิดแย่งชิงราชสมบัติจึงทรงหาทางกำจัดเสียใน ขณะนั้น มารดาของเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ถึงแก่กรรม เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ได้จัดงานศพอย่างใหญ่โต ขุนนางทั้งหลายที่ชอบพอ นับถือเจ้าพระยากลาโหมต่างพากันไปช่วย บางคนถึงกับไปนอนค้างเพื่อช่วยงาน เมื่อสมเด็จพระเชษฐาธิราชออกว่าราชการ มีขุนนางจำนวนมากหายไปไม่เข้าเฝ้ารายงานเรื่องราชการส่วนขุนนางที่เคยอยู่กับพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดิมและพวกที่สนับสนุนอุปราชแต่ไม่เผยตัว มาเข้าเฝ้าพร้อมเพรียงกัน เมื่อสอบถามได้ความ จึงทรงพระพิโรธว่าจะลงอาญาขุนนางเหล่านั้นที่บังอาจไม่รู้ที่ต่ำที่สูงขาดงานราชการโดยไม่แจ้ง เมื่อเหล่าขุนนางทั้งหลายที่ขาดการเข้าเฝ้าทราบว่าจะถูกลงอาญา จึงพากันไปขอพึ่งเจ้าพระยากลาโหม ปรึกษาความว่าจะทำอย่างไรดีพระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วให้เอาโทษ แม้มาประชุมครั้งนี้ก็ผิดอาญาซ้ำอีก  ในท้องพระโรงเสนาบดีทั้งหลายจึงกราบทูลว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์คิดเป็นกบฏแน่แล้วคิดซ่องสุมคนเต็มบ้าน พระเชษฐาธิราชจึงทรงให้ข้าหลวงไปแจ้งให้เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์มาเข้าเฝ้าโดยเร็ว โดยสั่งการให้ทหารรักษาวังคอยกุมตัวเหล่ากบฏเอาไว้ให้หมดสิ้น เหตุการณ์มาถึงบัดนี้การพบปะของขุนนางผู้ใหญ่โดยไม่บอกกล่าวพระมหากษัตริย์ก็นับว่าเป็นความผิดกฏบ การขัดไม่เข้าเฝ้าก็เป็นกฏบ ดังนั้น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ จึงประกาศแก่เหล่าขุนนางทั้งปวงที่ชุมนุมอยู่ที่เรือน ว่าเราได้ทำราชการมาด้วยความสุจริตมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอยู่หัวทรงธรรมพระราชบิดาพระเชษฐาธิราช เดี๋ยวนี้พระเจ้าแผ่นดินพาลเอาผิดจะฆ่าแกงตัวเรา เมื่อภัยมาถึงตัวก็จำต้องเป็นกบฏตามรับสั่ง จึงได้จัดไพร่พลพากันเข้าไปในวังหลวงเพื่อยึดอำนาจทันที  ฝ่ายพระเชษฐาธิราชเห็นเวลาล่วงเลยเจ้าพระยายังไม่เข้าเฝ้าก็ทราบเหตุการณ์ว่าคงเกิดกบฏขึ้นแล้วเป็นแน่ พระองค์จึงได้หลบออกจากวังหลวงไปกับมหาดเล็ก เจ้าพระยาเข้าถึงพระราชวัง เมื่อไม่พบพระเชษฐาธิราชเจ้า ฝ่ายในจึงแจ้งแก่เจ้าพระยากลาโหมว่าพระเชษฐานั้นเสด็จออกไปกับมหาดเล็กไม่รู้เสด็จไปที่ใด จึงสั่งให้พระยาเดโชและพระยาท้ายน้ำเร่งติดตามโดยพลันไปทันที่ป่าโมกน้อยแล้วกุมสมเด็จพระเชษฐาธิราชกลับมาได้ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์สำเร็จราชการ เร่งจับกุมบรรดาขุนนางที่เป็นต้นเหตุแห่งการยึดอำนาจมาลงโทษได้จำนวนมากจึงให้ประหารเสียคราวเดียวกับ ให้สำเร็จโทษพระเชษฐาเสียที่วัดโคกพระยา บรรดาเจ้านายเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ไม่ได้แสดงออกถึงการต่อต้านและยินดีต่อการยึดอำนาจครั้งนี้ ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเป็นสามัญชนเมื่อกระทำการเช่นนี้กับพระมหากษัตริย์และปราบดาภิเษกครองราชย์ บรรดาเหล่าขุนนางทั้งปวงที่เคยทูลเรื่องที่ตนคิดขบถต้องรวมกำลังต่อต้านหากตนจะขืนนั่งบรรลังค์ขณะมีองค์รัชทายาท เจ้าพระยากลาโหมจึงประมาณสถานการณ์เบื้องต้นว่ายังมีการต่อต้านเงียบๆอีกดังนั้นเพื่อลดแรงต้านแต่ยังสามารถกุมอำนาจเอาไว้ในมือได้ จำเป็นจะต้องอภิเษกราชวงศ์โดยลำดับต่อจากพระเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชย์ เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์จึงได้ทูลเชิญพระอาทิตยวงศ์พระอนุชาในสมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อทำให้เหล่าขุนนางอำมาตย์ทั้งปวงเห็นถึงความจงรัก ภักดี ของเจ้าพระยากลาโหมว่าไม่ได้กระทำการเพื่อตนเองแต่ กระทำเพื่อความจำเป็น เนื่องจากมีผู้ยุยง จนภัยมาถึงตน เหล่าขุนนางทั้งหลายที่ร่วมก่อการขึ้นมาจึงให้ความเคารพยำเกรงในตัวเจ้าพระยากลาโหมมาก