ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ขุนหลวงตาก ตอนที่๓



                                                                                ตอนที่ ๓  ฐานทัพจันทบูร
          ในที่รวมพลวัดป่าเลไลย    เร่งรวบรวมเสบียงอาหารและเกณฑ์ผู้คนพร้อมแล้ว จึงจัดขบวนทัพ พระยาตากจึงนั่งช้างพัง คีรีบัญชรนำทัพออกจากเมืองระยอง ไปเมืองจันทบูร ขณะนั้นเจ้าเมืองจันทบูรประกาศตนเป็นเจ้าเมืองก่อนแล้วด้วยจันทบูรเอาใจออกห่างเข้ากับกัมพุชประเทศและที่สำคัญไม่มีอังวะเข้ามา รบราถึงจันทบูร เมื่อพระนครมีศึกอังวะและกรมหมื่นเทพพิพิธมาชักจูงให้ท้ายจึงกบถ เป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับพระนครเมื่อรู้ข่าวพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาให้พระยาตากมาปราบปรามและเกณฑ์ผู้คนของหัวเมืองตะวันออก จึงร้อนตนจึงให้พระรามเฝ้าติดตามและหาหนทางกำจัดทัพพระยาวชิรปราการตั้งแต่ผ่านค่ายขุนด่านมาด่านกบแจะ พระรามนั้นอยู่เมืองพนมสาลคาม เมื่อพระยาวชิรปราการสามารถนำทัพมาถึงเมืองราย็องจึงทำทีอ่อนน้อมและลอบเข้าปล้นค่ายครั้งหนึ่งแล้วแต่พ่ายแพ้พระยาวชิรปราการต้องเตลิดหนี เมื่อหมดทาง พระเจ้าจันทบูรจึงแต่งทูตโดยพระผู้ใหญ่๔รูปมาเจริญไมตรีกับพระยาวชิรปราการที่ราย็องโดยมารอรับทัพที่เมืองกร่ำ ทัพพระยาวชิรปราการนั้นมุ่งไปจันทบูรผ่าน บ้านไข้ บ้านคา บ้านกล่ำ เข้าเขตจันทบูรที่บ้านแกลงด่านแรกต้องปราบปราม กองโจรพระรามหมื่นซ่อง ที่ตั้งค่ายอยู่บ้านแกลง เมื่อถอยจากเมืองราย็องก็แต่งเป็นกองโจรลอบเกาะติดทัพพระยาวชิรปราการคอยเข้ามาปล้นเสบียงช้างม้า วัวควายด้านท้ายขบวนทัพ เกิดรบกันหนักที่ทุ่งทะเลน้อย กองโจรพระรามแตกสิ้นถอยไปอีกครั้ง ส่วน ไพร่พลทัพพระยาวชิรปราการ ล้มตายไปจำนวนหนึ่งเมื่อได้ครอบครัวช้างม้าโคกระบือล้อเกวียนที่ถูกพระรามหมื่นซ่องลักพาคืนมาแล้ว

จึงตั้งค่ายที่วัดทะเลน้อยบำรุงทแกล้วทหารรวบรวมเครื่องสรรพาวุธปืนใหญ่น้อย จัดการเผาศพไพร่พล ณที่นั้นในภายหลังได้สร้างเจดีย์ครอบเป็นอนุสรณ์เอาไว้ ตัวพระรามแตกหนีไปจันทบูร เป็นการรบอีกครั้งหลังจากครั้งแรกที่ปากน้ำท่าลาด ที่มีไพร่พลบาดเจ็บล้มตายไปมาก ขณะพักทัพมีข้าในวังที่หนีอังวะตามทัพพระยาวชิระปราการและมาทันที่วัดทะเลน้อยได้ข่าวพระนครแตกเสียแก่อังวะก็มาถึงทัพพระยาวชิรปราการจึงเกิดรัดทดจิตใจยิ่งนัก จึงเรียกประชุมนายกองทั้งปวง แจ้งข่าว ว่าพระนครเสียแก่ข้าศึกลงแล้ว ทัพเรามิอาจกลับไปช่วยเหลือให้ทันการ เมื่อสิ้นขุนหลวงอโยธยาบ้านเมืองก็สิ้น เชื้อพระวงศ์ ขุนนางไพร่ชาวพระนครถูกกวาดต้อนไปอังวะ บ้านแตกสาแหรกขาด พวกที่หนีทัพก็ตั้งตนเป็นเจ้าแยกแผ่นดินเป็นหลายฝ่าย พระยาพิษณุโลกก็ประกาศตนเป็นเจ้าตั้งแต่ยังไม่เสียกรุง กรมหมื่นเทพพิพิธเองก็ต้องการเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยาหาได้ยกทัพไปช่วยเหลือกรุงไม่ ส่วนทัพของเราตั้งใจเกณฑ์ไพร่พลกลับไปช่วยเหลือกรุงตามที่องค์เหนือหัวทรงโปรดรับสั่งไว้ ดังนั้นเราก็ยังต้องกระทำตามพระราชประสงค์ให้แล้วเสร็จ  เมื่อข้าพาทัพไปช่วยพระนครไม่ได้ข้าจะพาทัพไปไล่อังวะให้พ้นปลดทุกข์เข็ญให้พี่น้องที่ยังต้องหลบซ่อนพวกอังวะ พวกแม่ทัพนายกองทั้งหลายจึงร่วมกันเสนอว่าเมื่อกรุงแตกแล้วการใช้ราชโองการและตราตั้งคงไม่ได้แล้วผู้คน และขุนนางที่แตกหนีหวังพึ่งพาทัพที่เหลือทั้งทัพเราทั้งทัพกรมหมื่น ด้วยเขาประกาศตนเป็นขุนหลวงกรุงศรีอยุธยามีขุนนาง เชื้อพระวงศ์ไปอยู่ร่วมก็มาก หากทัพเราไม่นำทัพไปเข้าด้วยแล้วทัพเราจักกลายเป็นทัพกบฏ บรรดานายกองทั้งหลายจึงพากันยกพระยาวชิรปราการนายทัพตนให้ประกาศตนเป็นขุนหลวงกรุงศรีอโยธยา เพราะเห็นทางเดียวที่จะมีอำนาจ สิทธิขาดไปเกณฑ์ผู้คนเข้ากอบกู้บ้านเมืองและเป็นที่พึ่งของเหล่าขุนนางและประชาชนทั้งปวง ด้วยมีทั้งนายทั้งไพร่อันแตกตื่นออกไปอยู่ป่าดงต่างเดินทางมาอาสาเข้าร่วมกองทัพเป็นจำนวนมาก ณ ที่วัดทะเลน้อยจึงตระเตรียมสร้างบัลลังค์ที่ประทับในพิธีบวงสรวงปราบดาภิเศก วันที่๑๕ มิถุนายน๒๓๑๐ จึงนิมนต์พระสงฆ์ทั้งปวงในที่นั้นมาเจริญชัยมงคล พระยาตาก ได้ทำพิธีกรรมบวงสรวง อันศักดิ์สิทธิ์พระองค์ออกนั่งบัลลังค์ประกาศตนเป็นขุนหลวงอยุธยาให้หมู่นายกอง และไพร่พล ทั้งหลายเข้าถือน้ำสาบานตนจะเป็นข้าแผ่นดินและช่วยกันกอบกู้บ้านเมืองให้ได้ในเร็ววัน
แผนการเข้าตีเมืองจันทบูรครั้งนี้ต้องรวมสรรพกำลัง สรรพาวุธดินดำ ปืนใหญ่ปืนน้อยให้พร้อมมากที่สุด เพราะจันทบูรเป็นเมืองใหญ่ตั้งบนเนิน มีกำลังทหารมาก กำแพงดินถมก็สูงใหญ่แข็งแรงรอบเมืองหากจะบุกเข้าต้องใช้การปีนข้ามได้เท่านั้น ซึ่งมีป้อมปราการ ตั้งปืนใหญ่ป้องกันแน่นหนาการเข้าตีด้วยกำลังที่มากกว่ายังยากจะเอาชนะ แต่ขณะนี้กำลังเข้าตีมีน้อยกว่าต้องใช้ความกล้าหาญ  เท่านั้นจึงจะตีหักเอาเมืองได้เพื่อให้ไพร่พลฮึกเหิมใคร่ทำศึกยึดเมืองจันทบูรให้ได้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีแสดงเจตจำนงว่าจะเดินหน้าบุกเพื่อชัยชนะเท่านั้น ในการเริ่มภารกิจการรุกครั้งแรก พระองค์ตรัสสั่งให้ ขุนกอง จัดการบรรทุกเสบียง นำข้าวปลาอาหารขึ้นเกวียนเพื่อเลี้ยงกองทัพเท่าจำนวนวันที่เดินทางจากวัดทะเลน้อยไปถึงเมืองจันทบูร(ประมาณ ๗ วัน)น้ำจืดให้นำจากด้านเหนือน้ำประแส บรรทุกใส่โอ่งไหขึ้นเกวียนเพื่อใช้หุงหาระหว่างทางเพื่อให้ไพร่พลบุกยึดเมืองจันทบูรให้จงได้แล้วนำข้าวปลาอาหารของเมืองจันทบูรเลี้ยงไพร่พลในมื้อถัดไป  เพราะ ณ.ที่นี้ก็เป็นแดนจันทบูร เมื่อได้ฤกษ์จึงเคลื่อนทัพผูกแพพาไพร่พลทั้งช้างม้าข้ามลำน้ำกระแสซึ่งก็เสมือนการบุกเข้าเหยียบเมืองจันทบูร  ถึงตำบลที่หนึ่งเป็นทุ่งอุดมสมบูรณ์จึงหยุดทัพให้ช้าง วัว ควาย ได้ดื่มกินการโจมตีจันทบูรนอกจากช้าง ม้า และ พลรบ วัวควายของกองสรรพาวุธและเกียกกายยังจำเป็นต้องใช้กระสุน ดินดำของปืนใหญ่ปืนคาบศิลา ทีมีอยู่นั้นคงไมพอ จึงตรัสเรียกไพร่พลที่เป็นชาวแกงชาวกร่ำชาวทะเลน้อยมาเข้าเฝ้าตรัสถามถึงที่ตั้งของถ้ำค้างคาวว่าอยู่ที่ใด จึงได้ทราบว่ามีภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักทัพแห่งนี้จึงตรัสสั่งให้ช่างสรรพาวุธช่างปืนใหญ่ปืนคาบศิลา ช่วยกันนำกระชุไปเที่ยวหาขนมูลค้างคาวและเที่ยวตัดไม้โกงกางมาเผาถ่าน เมื่อขนมูลค้างคาวจากถ้ำและเผาถ่านได้มากจนกองใหญ่นายกองปืนจึงทำการตำดินปืน รวบรวมให้มากที่สุด กระทำแล้วเสร็จก็บรรทุกขึ้นกองเกวียนไม่ชักช้าที่ค่ายพักตำดินปืนแห่งนี้จึงเรียกว่าค่ายกองดินปืน ก่อนเคลื่อนพลพระองค์พร้อมทหารเอกหลวงพิชัยและ พระเชียงเงินอธิฐานจิตปลูกต้นโพธิ์ร่วมกันสามต้น ณ ที่รวมพลแล้วจึงเคลื่อนพล(ภายหลังตั้งเป็นวัดจึงได้ชื่อวัดกองดิน) 
ขบวนทัพข้ามน้ำพังราด(พระเจ้าตากทรงช้างปัจจุบันบริเวณที่ช้างข้ามลำน้ำชื่อตำบลช้างข้าม) แล้วขบวนทัพก็มุ่งเข้าเมืองจันทบูรที่หมายแรกคือวัดพลับ บางกะจะ ซึ่งเป็นที่ตั้งชุมชนของชาวจีนที่มีขนาดใหญ่หยุดตั้งทัพที่วัดพลับ สามารถชักชวนชาวจีนที่บ้านนี้เข้าร่วมทัพได้จำนวนมาก จึงแต่งทัพวางแผนเข้าตีจันทบูรโดยจัดกองหน้ามีกำลังมากสั่งการเตรียมเดินทางตามคณะทูตเข้าเมืองจันทบูร เพื่อจุดประสงค์ ลวงคณะทูตของพระยาจันทบูรว่าเป็นทัพหลวงจะพากำลังข้ามลำน้ำไปตั้งในเมืองตามคำเชิญของเจ้าเมือง  แล้วนิมนต์พระให้กลับไปแจ้งพระเจ้าจันทบูร ว่ารับไมตรี แท้จริงแล้วพระองค์ทรงแต่งทัพส่วนนี้ให้เป็นกองเข้าตีลวงข้าศึก เข้าตีจากทางทิศใต้ เป็นอุบายทัพโดยพระเจ้าตากให้ไพร่พลกองหนึ่งทำทีเตรียมต่อแพเพื่อให้ทัพหลวงข้ามลำน้ำ 
เข้าจันทบูรส่วนชาวจีนบางกะจะที่เข้าร่วมทัพพระเจ้าตากให้แทรกซึมเข้าเมือง(เป็นชาวเมืองจันทบูร สามารถเข้าออกได้ง่าย)เมื่อทราบที่วางกำลังหนักเบาแล้วลักลอบออกมาแจ้งข่าวจึงได้ล่วงรู้เป็นที่แน่แท้ว่ากองทัพเมืองจันทบูรจัดกำลังเอาไว้ต้านทานทัพพระยาตากด้านทิศใต้และตะวันตกเป็นสำคัญ และทัพจันทบูร เตรียมชุดซุ่มโจมตี ถ้ากองทัพพระยาตากข้ามลำน้ำท่าใหม่ ดังนั้นพระองค์จึงให้หลวงพิชัยส่งข่าวถึงทัพหน้าให้หยุดทัพตรึงกำลังข้าศึกไว้ที่ฝั่งแล้วพระองค์นำส่วนเข้าตีหลักและกองหนุนอีกกองหนึ่งโอบขึ้นทางหนองสีงา มุ่งสู่ เขาแก้วด้านทิศเหนือของเมืองห่างประตูเมือง ๒๐๐๐ เมตร เจ้าตากจึงให้ทหารม้าไปเชิญพระยาจันทบุรีให้ออกมาเจรจาที่วิหารวัดเขาแก้ว นอกกำแพงเมือง  หากไม่ยอมมาทัพของพระองค์จะเข้าโจมตีเมือง พระเจ้าจันทบูรจึงรู้ว่าพระเจ้าตากรู้กลศึกของตนแล้ว  จึงไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่ เชิงเทินอย่างแน่นหนา สั่งถอยทัพจากที่ซุ่มกลับเมือง เกิดการรบพุ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำแม้พระองค์นำทัพด้วยพระองค์เองปีนกำแพงเข้าตีขาดแรงหนุนเนื่องไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้เป็นหลายครา
 เมื่อสถานการณ์ศึกทัพของพระองค์ยังไม่สามารถหักเอาเมืองได้พระองค์ทรงตระหนักดีว่าแม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบูรมีจำนวนมากกว่าและทหารของพระองค์ที่เจนศึกมีประมาณ๕๐๐ คน นอกนั้นกะเกณฑ์และอาสาเข้าทัพมาจากเมืองรายทางจึงไม่เจนศึกขาดความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเอาชนะข้าศึกหากรบยืดเยื้อนอกจากเสบียงหมด (ตั้งใจนำเสบียงมาจากวัดทะเลน้อยแค่เดินทางมาถึงเมืองจันทบูร) ยังจะถูกทัพจันทบูรตอบโต้จนพ่ายแพ้ได้ หากต้องล่าถอยไป ทัพจันทบูรก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทางพระเจ้าตากจึงตัดสินพระทัยจะต้องเข้าตีเมืองจันทบูรในค่ำวันนี้ให้ได้และจักต้องปลุกเร้าให้ทหารของพระองค์มีใจรุกรบให้เต็มที่ ดังนั้น เมื่อพักรบยามค่ำหลังกินข้าวมื้อเย็น ณ.ลานหน้าวิหารวัดเขาแก้ว พระองค์สั่งชุมนุมพล สั่ง ขุนกองนำเสบียงทั้งมวลที่เหลืออยู่จากการนำมาจากค่ายวัดเนินสระซึ่งครบมื้อสุดท้ายพอดีจะเหลืออยู่ก็เฉพาะในหม้อดินที่พอมีอยู่บ้าง 
พระองค์ประกาศให้ทั้งนายทั้งไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและ ต่อยหม้อเสียให้หมด ด้วยพระสุรเสียงดังก้องกลางชุมนุมไพร่พล ว่าเราจะหักเอาเมืองจันทบูรให้จงได้ มื้อเช้ากองทัพของเราจะเข้าไปกินข้าวในเมืองให้อิ่มหนำสำราญ หากเราหักเอาเมืองไม่ได้ถ้าไม่ตายด้วยศาตราของข้าศึกคงต้องพากันอดอาหารตายเสียด้วยกันให้หมด คืนนี้เราจะบุกเอาเมืองให้ได้ เสียงไชโยของเหล่าทหารคงดังกึกก้อง และคงดังไปถึงจวนเจ้าเมืองจันทบูร พระยาตากสั่งกองหนุนให้โอบล้อมเมืองไปด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือถัดจากทัพหลวงของพระองค์แล้วค่ำคืนนั้นเวลา ๓ นาฬิกา วันอาทิตย์ เดือน ๗ ปีกุน พ.ศ.๒๓๑๐ทัพหลวงของพระองค์ทั้งทหารไทยจีนเข้าโจมตีเมืองจันทบุรีอย่างหนักโดยเจ้าตากขี่ช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จสุดที่ กำลังจันทบูรจะต้านทานได้ ทหารก็กรู กันสามารถผ่านกำแพงเมืองด้านเขาแก้วเข้าเมืองได้ เข้าตีผ่านกองทัพจันทบูรที่เสียขวัญละทิ้งหน้าที่ ถอยร่นทิ้งที่มั่น แตกหนีไป ทหารจีนจากบ้านบางกะจะนำเสด็จพระเจ้าตากเข้าล้อมจวนพระเจ้าจันทบูร หาพบตัวไม่ บ่าวไพร่หมอบคลานยอมรับอำนาจเอาตัวรอด พระเจ้าตากสอบสวนได้ความว่าพระเจ้าจันทบูรพาครอบครัวลงเรือล่องออกปากน้ำแหลมสิงห์หนีไปเมืองบันทายมาศตั้งแต่ช่วงค่ำหลังจากสั่งการให้ทหารเข้าประจำเชิงเทินป้องกันทัพพระเจ้าตากให้มั่นคง ประมาณสถานการณ์เห็นว่าคงต้องพ่ายแพ้เพราะเสียการตั้งแต่ให้พระรามปล้นทัพพระเจ้าตากไม่สำเร็จ และการลวงทัพพระเจ้าตากให้ข้ามลำน้ำท่าใหม่แต่ถูกซ้อนกลเข้าตีเปลี่ยนทิศทางมาด้านเหนือที่การป้องกันมีน้อย การกระทำขัดใจพระเจ้าตากให้ขุ่นเคืองอยู่มาก 
หากจันทบูรแตกถูกจับตัวได้คงถูกประหาร จึงตัดสินใจทิ้งเมือง  ภายในจวนเจ้าเมืองจันทบูรเจ้าตากได้พบพระองค์เจ้าทับทิมราชธิดาพระเจ้าเสือองค์หนึ่งเมื่อกรุงใกล้แตกซึ่งพวกข้าพาหนีลงไปที่เมืองจันทบูรเห็นจะเป็นเพราะเจ้าจอมมารดาเป็นญาติกับพระเจ้าจันทบูร  พระเจ้าตากก็มีความสงสาร จึงสั่งให้จัดที่ให้ประทับตามสมควรเมื่อพระเจ้าตากจัดการเมืองจันทบูรเรียบร้อยแล้วจึงดำหริให้มีการจัดทัพเรือเพื่อยกไปตีกรุงศรีอโยธยาที่มีแม่ทัพสุกีควบคุมอยู่ ด้วยทัพบกมีความยากลำบากในการเดินทัพและใช้เวลานาน ซึ่งขณะนั้น ทราบข่าวสงครามจีนกับกับอังวะจากสำเภาจีนที่ใช้เส้นทางค้าขายตามหัวเมืองกง(เกาะกง) เมืองกราด(เมืองตราด)จันทบูร จึงเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะขับไล่อังวะให้พ้นกรุงศรีอโยธยา  จึง โปรดให้เร่งต่อเรือเป็นจำนวนมากเพื่อ ยกทัพเรือและทัพบก ลงไปเกณฑ์ไพร่พลที่เมืองกราด          เส้นทางไปตีเมืองกราดสำหรับทัพเรือไม่มีปัญหาการเดินทัพส่วนทัพบกต้องข้ามลำน้ำจันทบูร ลำน้ำเวฬุ  เป็นช่วงหน้าฝนจันทบูรฝนชุกนัก   เชิงเขาสระบาปเส้นทางทุรกันดาร ถึง
หมู่บ้านหนึ่งน้ำป่าจากเขาสระบาปพัดขบวนทัพจนเกวียนบรรทุกเสบียงลอยน้ำไป ลำธารจากภูเขาด้านทิศตะวันออกไหลลงแม่น้ำด้านตะวันตกขวางทางเดินทัพหลายสายถึงตำบลหนึ่งเกวียนสัมภาระถึงกับคานล้อหัก
ทัพบกพระเจ้าตากเข้าถึงเมืองตราด พวกกรมการเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี จึงเรียกเกณฑ์ไพร่เข้าทัพ  ด้วยการจัดทัพเรือเดินทัพไปกรุงศรีอโยธยาต้องใช้เรือ บรรทุกสัมภาระ สรรพวุธ ปืนใหญ่ และไพร่พลเป็นจำนวนมาก ที่อู่ต่อเรือปากน้ำจันทบูรต่อเรือได้แต่เรือขนาดเล็กไม่เหมาะกับการเดินทาง จึงเจรจากับพ่อค้าจีนเพื่อขอให้ความช่วยเหลือ บางสำเภาก็ขัดขืนแต่ท้ายที่สุดด้วยเกรงอำนาจพระเจ้าตากที่มีในปัจจุบันจึงจำต้องเข้าช่วยเหลือพร้อมสรรพวุธที่มีมากับสำเภา  ขณะนั้นเป็นฤดูฝน ฝนตกชุกคลื่นลมแรง จึงไม่อาจเร่งยกทัพจากเมือง กราดไปเลยทีเดียว จึงยกกองทัพเรือกลับเมืองจันทบุรี เพื่อตระเตรียมกำลังคนฝึกซ้อมอาวุธ สะสมเสบียงอาหาร เตรียมอาวุธยุทธภัณฑ์ และต่อเรือรบเพิ่มเติมได้ถึง ๑๐๐ ลำ รวบรวมกำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนจันทบูร คน เมืองกราด คนจีน ได้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คนเศษ กับมีข้าราชการในกรุงศรีอโยธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน และที่สำคัญก็คือ หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก (นายสุจินดาหุ้มแพร) มหาดเล็กเวรศักดิ์ ซึ่งผู้นี้รู้จักกันดีกับพระเจ้าตากพอถึงเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๓๑๐ หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว เจ้าตากก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช หยุดพักทัพตามชายฝั่งขนน้ำจืดขึ้นเรือเพิ่มเรื่อยมา
เหตุการณ์อีกด้านหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา หลังจากกองทัพใหญ่ของอังวะถอนกำลังจากกรุงศรีอโยธยากลับไปเตรียมกองทัพทำศึกใหญ่ โดยทิ้งกองทัพกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยไว้จำนวน ๓,๐๐๐ คนเศษ ด้วยต้องรวมกำลังไปสู้ทัพจีน และมั่นใจว่าปราบปราบอยุธยาลงได้เรียบร้อยไร้ราชวงศ์และขุนนางใหญ่ที่สามารถรวมทัพออกมาต่อต้านกับกองทัพรักษาความสงบนี้ได้ ทั้งมอบหมายให้แม่ทัพสุกี้ คอยจับกุมชาวกรุงศรีอโยธยาที่หลบซ่อนแล้วออกมาภายหลังสิ้นศึก และเก็บกวาดทรัพย์สินให้ได้มากพอจึงค่อยส่งตัวเชลยไปอังวะ หากเสร็จศึกจีนจะจัดส่งขุนนางอังวะมาฟื้นฟูปกครองอโยธยาเป็นเมืองในขัณฑสีมาของอังวะ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ ด้วยมีขุนนางฝรั่งในอังวะชี้แนะเป็นการปกครองเหมือนเมืองขึ้นชาติตะวันตก ไม่เป็นดั่งการปกครองประเทศราชที่เคยปฎิบัติกันมาในภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งจะทำให้ดินแดนอังวะกว้างใหญ่ครอบคลุมทั้งทะเลด้านอินเดีย และทะเลด้านจีนภายหน้าจะสามารถควบคุมจีนได้
 ผู้คนทั้งหลายทั้งในพระนครทั้งชนบทรอบๆพระนครที่รอดตาย พากันหลบหนีออกชนบทห่างไกลให้พ้นทัพอังวะ บ้างหนีไปสมทบกับเมืองต่างๆที่มีเชื้อพระวงศ์ และพระยาที่ประกาศตนเป็นเจ้า มีทั้งหมดที่เข้มแข็ง ๕ก๊ก รวมทั้งก๊กของเจ้าตากด้วย 
ทัพเรือพระเจ้าตากพักเรือที่บางปลาสร้อย มีชาวเมืองมาร้องเรียนว่าเจ้าเมืองที่เจ้าตากตั้งขึ้นกดขี่ข่มเหง พระองค์จึงประกาศตั้งศาลตัดสินซึ่งแสดงให้ประชาราษฎรสิ้นสงสัยในอำนาจการปกครอง ตัดสินคดีความเหนือดินแดน เป็นการประกาศอำนาจปกครองเหนือเมืองตั้งแต่เมืองกราด(ตราด) จันทบูร ราย็อง(ระยอง) บางปลาสร้อย(ชลบุรี) ให้บรรดากลุ่มอื่นๆที่ประกาศตนเป็นเจ้าเมืองต่างๆทราบ แผนการโจมตีขับไล่อังวะเพื่อควบคุมกรุงศรีอโยธยาให้ได้  เพื่อฟื้นฟูขึ้นใหม่ถูกกำหนดขึ้น ด้วยพระเจ้าตากทราบระบบการป้องกันพระนครของกรุงศรีอโยธยา เมื่ออังวะเข้าปกครองก็ต้องกระทำการเช่นเดียวกันคือตั้งรับข้าศึกด้วยการใช้ป้อมปืนใหญ่เมืองธนบุรียิงเรือที่เข้าจากปากน้ำ ดังนั้นเพื่อจำกัดการมองเห็นของทหารปืนใหญ่ที่ป้อมปราการในการเล็งยิงอาวุธมายังขบวนเรือของพระองค์  ด้วยพระองค์ไม่ต้องการเปิดศึกใหญ่ก่อนบุกเข้าถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงวางแผนใช้กำลังส่วนน้อยบุกเข้ายึดป้อม   จึงคะเนคลื่นลมที่บางปลาสร้อย ถึง บางปลากดกะเวลาให้เดินทางถึงปากน้ำบางเกาะในยามค่ำ คืนเพื่อใช้ความมืออำพรางขบวนเรือรบ
 ที่ธนบุรีปราการด่านแรกของการเข้าเมืองหลวง กรุงศรีอโยธยา มีนายทองอินนายกองอาสาอังวะที่เมืองธนบุรีรักษาเมืองอยู่     ข่าวการยกทัพเรือจากจันทบูรล่วงรู้ถึงนายทองอินก็ให้คนรีบขึ้นไปบอกข่าวแก่สุกี้แม่ทัพอังวะที่ค่ายโพธิ์สามต้นกรุงศรีอยุธยา แล้วนายทองอินก็เรียกระดมพลคนไทที่อาสาแม่ทัพอังวะทำราชการแทนทัพอังวะรักษาหน้าด่านทางน้ำ ขึ้นรักษาป้อมพระยาวิชเยนทร์ และหน้าแท่นเชิงเทินเป็นมั่นคง

วันเพ็ญเดือน ๑๒ ปีกุน ตรงกับวันศุกร์ที่ ๖พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐อาศัยแสงจันทร์ส่องสว่างในการเข้าตีข้าศึก กองทัพเรือภายใต้บัญชาการของเจ้าตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก ครั้นกองทัพเรือเจ้าตากเดินทางมาถึงก็โห่ร้องยิงปืนใหญ่เข้าใส่และยกพลจากเรือเข้าตีกองทหารรักษาค่ายของนายทองอิน รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรีกลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทสยามด้วยกันเอง ดังนั้นกองทัพเรือของพระเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรี ได้พระเจ้าตากจึงให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วจึงพักทัพจัดหุงหา กะเวลายกกองทัพเรือจากป้อมวิชเยนทร์ไปตีกรุงศรีอโยธยาในเวลาค่ำ
สุกี้แม่ทัพอังวะได้ข่าวจากนายทองอินในหลายวันก่อนหน้า ว่าพระยาตากแม่ทัพค่ายวัดพิชัย นำกำลังหลายพันยกมาจากจันทบูร แต่สุกี้ไม่ยอมทิ้งค่ายโพสามต้นนำกำลังลงไปธนบุรีด้วยเกรงเชลยจะแหกค่ายหนี รู้ข่าวอีกครั้งเมื่อพระเจ้าตากยึดป้อมธนบุรีแล้ว    จึงส่งมองญ่ารองนายทัพคุมพลมอญและกรุงศรีอโยธยาอาสา ยกกองทัพเรือไปสกัดอยู่ที่เพนียด           ทัพเรือส่วนหน้าของทัพพระเจ้าตากขึ้นไปถึงกรุงศรีอโยธยาขณะเป็นเวลาค่ำ   หมู่เรือตระเวนหน้าพบ ข้าศึกยกมาตั้งรับคอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด จึงให้เรือล่องลงไปแจ้งทัพหลวง แล้วจึงลอยลำคอยทำท่าว่าจะเข้าสู้รบกับเรืออังวะ ฝ่ายพวกคนสยามที่ถูกเกณฑ์มาในกองทัพมองญ่าเห็นเรือข้าศึกรู้ว่ากองเรือที่ยกมานั้นเป็นคน กรุงศรีอโยธยาด้วยกัน จึงไม่ยิงปืนใส่ด้วย บ้างจะหลบหนี  บ้างจะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้าง    มองญ่า พบเรือข้าศึกสั่งการให้ยิงแต่ไพร่ทหารไม่ยิงปืนและลอยลำเฉยอยู่     เห็นดังนั้นจึง เกรง ว่าตนและนายกองอังวะมีไม่กี่สิบคน   คงควบคุมพลมอญและสยามไม่ได้แน่หากจะพากันก่อการกบฏเข้าจับตน  จึงปรึกษานายกองของตนทิ้งทัพเรือนั้นกลับลำเรือหนีไปค่ายโพธิ์สามต้นไพร่ทหารมอญ และกรุงศรีจึงลอยลำวางอาวุธให้กองเรือของพระเจ้าตากคุมตัว จึงขอเข้าร่วมทัพ
เมื่อทัพหลวงมาถึงจึงสอบสวนความ    รู้แจ้งแล้วว่าถูกบังคับและอังวะถอยหนีจากเพนียดหมดแล้วพระ เจ้าตากจึงรับพวกคนสยามและมอญที่หนีอังวะให้มาเข้าด้วยแล้ว  รีบยกกองทัพขึ้นไป เช้าตรู่จึงเข้าตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ๒ค่าย พร้อมกัน สู้รบกันจนเที่ยง เจ้าตากก็เข้ายึดค่ายพม่าได้ พบสุกี้ตายในที่รบ   จับได้นายกองไพร่เลวที่เหลือได้จนหมดสิ้นจึงให้ ประหารเสียทั้งสิ้น 
 เมื่อพระเจ้าตากมีชัยชนะอังวะแล้วตั้งพักกองทัพ อยู่ที่ในค่ายอังวะ ที่โพธิ์สามต้นขณะนั้นในค่ายมีผู้คนและทรัพย์สมบัติซึ่งสุกี้ รวบรวมรักษาไว้ ยังมิได้ส่งไปเมืองอังวะ รวมทั้งพวกข้าราชการที่อังวะจับเอาไปไว้หลายคน คือพระยารัตนาธิเบศร์บดี จางวางมหาดเล็ก เป็นต้นต่างพากันมาเฝ้าถวายบังคมเจ้าตากกราบทูลให้ทราบถึงที่พระเจ้าเอกทัศ สวรรคต สุกี้ให้ฝังพระบรมศพไว้ที่กลางค่ายและทูลว่ายังมีเจ้านายซึ่งพม่าจับได้ ต้องกักขังอยู่ในค่ายนั้นหลายพระองค์ที่เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าบรมโกษ คือ เจ้าฟ้าสุริยา  เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าจันทวดีพระองค์เจ้าฟักทอง  รวม  ๔ พระองค์ ที่เป็นชั้นหลานเธอคือ หม่อมเจ้ามิตร ธิดาของกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ หม่อมเจ้ากระจาด ธิดากรมหมื่นจิตรสุนทร หม่อมเจ้ามณี ธิดากรมหมื่นเสพภักดีองค์หนึ่ง และหม่อมเจ้าฉิมธิดาเจ้าฟ้าสุนทรเทพ รวม ๔ องค์  เจ้านายทั้ง  ๘ องค์สุกี้จะส่งไปอังวะในครั้งต่อไป พระเจ้าตากจึงให้ทหารไปเปิดค่ายกักขังให้ ปล่อยคนทั้งปวงที่ถูกอังวะกักขังเอาไว้ออกมาโดยไว     แล้วแจกจ่ายทรัพย์สิ่งของเครื่องอุปโภค บริโภคให้พ้นทุกข์ทรมานด้วยกันทั้งนั้นแล้ว          จึงให้ปลูกเมรุดาดผ้าขาว ที่ท้องสนามหลวงและให้สร้างพระโกศกับเครื่องประดับสำหรับงานพระบรมศพตาม กำลังที่จะทำได้    ให้ขุดพระ  บรมศพพระเจ้าเอกทัศเชิญลงพระโกศประดิษฐานที่ในพระเมรุที่สร้างไว้ ครั้นเตรียมการพร้อมเสร็จเจ้าตากจึงเสด็จเข้ามาตั้งพลับพลา อยู่ที่ในกรุงฯให้เที่ยว หาพระสงฆ์ซึ่งยังมีเหลืออยู่ นิมนต์มารับทักษิณานุปทานและสดับปกรณ์ตามประเพณีแล้วพระเจ้าตากกับเจ้านายในพระ ราชวงศ์เดิมและข้าราชการทั้งปวง ก็ถวายพระเพลิงพระบรมศพและบรรจุพระอัฐิธาตุตามเยี่ยงอย่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนมา        เมื่อเสร็จแล้วคิดจะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยุธยาตั้งเป็นราชธานีดังแต่ ก่อนมา     ยังมิได้มีแผนการใดว่าจะเริ่มปฏิสังขรณ์อย่างไรบ้างจึงขึ้นทรงช้างที่นั่งเที่ยวทอดพระเนตรในบริเวณพระราชวัง และประพาสตามท้องที่ในพระนครโดยรอบ     เห็นปราสาทราชมนเทียรตำหนักใหญ่น้อยทั้งอาวาส วิหาร และบ้านเรือนชาวพระนคร ถูกเพลิงเผาทำลายเสียเป็นอันมากที่ยังดีอยู่นั้นน้อยก็สังเวชสลดพระหฤทัย ในวันนั้นเสด็จเข้าไปประทับแรมอยู่ที่พระที่นั่งทรงปืนอันเป็นท้องพระโรงที่เสด็จออกข้างท้ายวังมาแต่ก่อน และที่พระที่นั่งองค์นี้พระองค์ได้รับพระบัญชาให้นำทัพไปเกณฑ์ไพร่พล 
พระเจ้าตากทรงดำหริสภาพทั้งวังที่เป็นศูนย์กลางอำนาจปกครองและที่ประทับเสียหายหมดสิ้น ส่วนกำแพงเมืองยังดีอยู่พังเสียหายก็ด้านที่อังวะขุดเผาให้ทะลายลง  วัดวาอารามยังดีอยู่ครบแต่พังเสียหายกว่าครึ่ง ส่วนเมืองก็เสียหายจากไฟไหม้ตั้งแต่ก่อนเสียกรุง  ขณะที่พระองค์รับราชโองการนำทัพออกจากวัดพิชัย ในสภาพที่ขาดแคลน  กู้แผ่นดินขึ้นได้ใหม่สภาพอัตคัดขัดสนทั้งทรัพย์ทั้งผู้คน ทั้งช่าง บ้านเรือน วัด
พระบรมมหาราชวัง ในสภาพบ้านเมืองปกติสุขสถานที่เหล่านี้ยัง สรรค์สร้างมาหลายรัชกาลจึงสำเร็จยิ่งใหญ่สวยงาม   หากทำการบูรณะไม่เหมือนดังเดิมทำครึ่งๆกลางๆ  จะเป็นการเสื่อมพระเกียรติ   ให้ประชาราษฎร์ดูแคลน     แต่หากพระองค์ก็ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์แล้ว    กำจัดข้าศึกจนหมดสิ้นแต่ไม่สามารถมีที่ว่าราชการและที่ประทับ   จะมีใครนับถือ   และที่สำคัญหากทุ่มกำลังทั้งคนและทรัพย์ยามยากเข็ญนี้  หากอังวะย้อนกลับมาโจมตี  จะมีกำลังที่ไหนเข้ารบกับข้าศึกคงต้องเสียทีซ้ำอีก  ส่วน ครบุรี(นครราชเสมา)ของกรมหมื่นเทพพิพิธ  พระเจ้าพิษณุโลกและพระเจ้านครศรีธรรมา ก็นอนพระทัยไม่ได้หากไม่นำทัพไปปราบปรามพวกเขาก็คงนำทัพลงมาชิงเมืองเกิดเป็นศึกต้องรบกันเองอีก     จึงคิดถึง เมืองธนบุรี เมืองแรกที่พระองค์บุกเข้าโจมตีมีป้อมปราการที่ยังสมบูรณ์มีทั้งที่พักนายป้อมและเป็นภูมิประเทศไม่ใหญ่โตนักเป็นทำเลสำคัญป้องกันข้าศึกจากปากแม่น้ำหากเริ่มแรกตั้งราชธานีคงใช้แรงงานและราชทรัพย์ไม่มากเมื่อบ้านเมืองมั่นคงค่อยคิดกลับมาบูรณะกรุงศรีอโยธยาให้ปกติดังเดิม อีกทั้งธนบุรีนั้นเจริญเรื่องการค้ามาครั้งกรุงศรีอยุธยา มีเส้นทางแม่น้ำลำคลองเชื่อมต่อไปยังเมืองสาครบุรี เมืองสมุทรสงคราม เส้นทางนี้อังวะเคยใช้ทัพเรือบุกมายังธนบุรีเป็นเรื่องง่ายที่จะรับทัพอังวะหากยกทัพเรือเข้ามา หากเหลือกำลังเส้นทางถอนตัวไปเมืองจันทบูรก็สะดวก            เมื่อดำหริและตัดสินพระทัยเป็นเช่นนั้นแล้วรุ่งเช้าจึงเรียกแม่ทัพนายกองมารวมยังที่ประทับแล้วดำรัสให้ข้าราชการทั้งปวงฟัง ว่าตอนกลางคืนได้สุบินถึงขุนหลวงพระองค์ก่อนๆท่านหวงแหนสถานที่นี้ มาขับไล่มิให้อยู่ที่นี่    แล้วดำรัสต่อไปว่า เดิมเราคิดจะปฏิสังขรณ์ พระนครให้คืนดีดังเก่า แต่เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหนอยู่ฉะนี้เราชวนกันไปสร้างเมืองธนบุรีเถิด      พวกท่านทั้งหลายมีความเห็นประการใด  หมู่ขุนนางต่างเห็นพ้อง         พระองค์จึงให้อพยพผู้คนลงมาตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองธนบุรีแต่นั้นมา       โดยสร้างวังที่ประทับองค์ย่อมทั้งเป็นท้องพระโรงว่าราชการตามที่ดำหริไว้  

 วันจันทร์ ขึ้น๘ค่ำเดือน ๒ จุลศักราช๑๑๒๙ (วันจันทร์ที่๒๘ธ.ค.๒๓๑๐)บรรดาอำมาตย์ ราชครู ต่างร่วมกันประกอบพระราชพิธีสถาปนาพระเจ้าตากขึ้นเป็น  สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ บรมธรรมิกราชาธิราชรามาธิบดี พระชันษา ๓๔พรรษา ต่อแต่ นี้ก็ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ทรงทำให้สถานะ พระมหา กษัตริย์ของราชอาณาจักรสยามเด่นชัดและสมบูรณ์อย่างไม่เป็นที่สงสัยอีกต่อไป นับเวลา ไม่ถึง ขวบปี ที่กรุง ศรีอโยธยา เสียแก่อังวะเมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังเสียกรุงพระยาวชิรปราการหรือพระยาตากได้ประกาศพระองค์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่เมืองระยอง ที่คนทั่วไปเรียกกันภายหลังว่าพระเจ้าตากฟื้นฟูราชอาณาจักรสยามขึ้นมาใหม่โดยสร้างธนบุรีเป็นเมืองหลวงศูนย์กลางการปกครองอาณาจักร   เมื่อสถาปนาขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์จึงทรงปูนบำเหน็จให้ทหารกล้าคู่พระบารมี โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์และศักดินาได้รับเข้ารับราชการในพระองค์ บุคคลที่สำคัญๆได้แก่
หลวงพิชัยอาสา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถราชองค์รักษ์
พระเชียงเงินท้ายน้ำ เป็นพระยาสุโขทัยเจ้าเมืองสุโขทัย
หลวงพรหมเสนา เลื่อนขึ้นเป็นพระพรหมเสนาต่อมารับราชการด้วยความวิริยะโปรดเกล้าให้รับตำแหน่งพระยา
อนุรักษ์ภูธรเจ้าเมืองพรหมบุรี
จหมื่นราชเสน่หา   เป็นราชองครักษ์ประจำพระองค์คู่กับเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
ขุนอภัยภักดี ชาวจีนอาสา  เป็นที่ปรึกษาโกษาธิบดี
ยังมีขุนทหารอาสาร่วมรบอีกมาก ที่เป็นนักรบ ไม่มีรากฐานขุนนางมาก่อนไม่เคยเรียนรู้ด้านกฎหมายทั้งการมีบรรดาศักดิ์ไม่ถนัดงานปกครองในพระนคร จึงโปรดให้รับราชการตามหัวเมืองบ้านเกิดของตนซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สิบห้าปีพระองค์ถูกรัฐประหารขุนนางเหล่านั้นไม่อาจมีไพร่พลเป็นกำลังช่วยเหลือพระองค์ได้  บรรดาขุนนางเก่าหลายคนที่รู้เรื่องแบบอย่างธรรมเนียมขุนนางและการปกครองจึงได้รับชักชวนให้เข้ารับราชการอยู่ก็มากนายสุจินดาหุ้มแพรมหาดเล็กโปรดเกล้าเป็นพระมหามนตรีตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจในขวาและพระมหามนตรีได้พาหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรีผู้เป็นพี่ชายที่พักอยู่กับครอบครัวช่วงเสียกรุงที่เมืองสวนนอก(อัมพวา)  เข้าเฝ้าฝากตัวเข้ารับราชการและได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง พระราชวารินทร์เจ้ากรมตำรวจนอกขวา
ด้วยขณะนั้นบ้านเมืองเพิ่งเป็นอิสระจากอังวะจิตใจของประชาราษฎรยังระส่ำระสายต้องบ้านแตกสาแหรกขาดสูญเสียญาติพี่น้องไปกับศึกสงครามนับหมื่นนับแสน ทั้งยังมีญาติพี่น้องถูกกวาดต้อนไปอังวะต้องพลัดพรากประกอบกับสภาพบ้านเมืองที่ถูกข้าศึกทำลายปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไปก็ยิ่งก่อให้เกิดความเศร้าโศกสะเทือนใจจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบล้างความรู้สึกสลดหดหู่นั้นได้ จึงมีความจำเป็นจะต้องเรียกขวัญและกำลังใจของประชาชนให้กลับคืน อยู่ในสภาพปกติโดยเร็วที่สุด และยังต้องป้องกันอังวะที่คาดการณ์ได้ว่าเสร็จศึกจีนคงต้องนำทัพมาโจมตีกรุงธนบุรีอีก นอกจากเตรียมการสู้รบกับอังวะภายในสยามด้วยกัน ต้องเร่งปราบปรามก๊กเหล่าต่างๆให้ยอมรับอำนาจของพระองค์ที่มีเหนืออาณาจักร แต่ศึกต่างๆนั้นไม่หนักเท่าศึกภายใน

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขุนหลวงตาก ตอนที่๒




                                                                        ตอนที่ ๒ อโยธยาสิ้นแล้ว
                        ทัพกรุงศรีอยุธยาป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดความสามารถ อังวะทุ่มเททั้งเจาะทำลายทั้งถมทำนบประชิดแต่อยุธยาก็ยังสามารถ  ป้องกันทัพอังวะเอาไว้ได้ ทั้งทราบความแล้วว่ามีไส้ศึกปะปนอยู่ในพระนคร ยามค่ำคืนคอยออกปล้นชาวเมือง  พระเจ้าเอกทัศออกตรวจตราทัพจึงทราบความอีกว่ามีพระยาหลายคนหนีทัพเล็ดลอดจากพระนครทิ้งไพร่พลให้อยู่ลำพังบ้าง ทิ้งค่ายพาไพร่พลกลับเมืองไปบ้าง  สืบได้ความว่าหนีไปยังพิมาย และพิษณุโลก  ซึ่ง สองเมืองนี้ซ่องสุมผู้คนคอยทีจะปล้นเอาเมือง แต่ยามนี้ขุนนางที่ไม่ชอบพระองค์ต่างกระด้างกระเดื่องหนีทัพโดยที่พระองค์ไม่สามารถลงอาญาได้            ความหวังสุดท้ายที่คอยทัพจากหัวเมืองตะวันออกถึงเกือบ ๓ เดือนคงสิ้นหวังยังไม่มีวี่แววทัพหนุนเดินทางมาถึง   (ขณะนั้นพระยาตากเข้ายึดเมืองระยอง วางแผนปราบปรามและเกณฑ์ไพร่พลจากจันทบูร)    ก่อนขึ้นเดือน ๕ หลายเพลา ทัพอังวะล้อมจนติดกำแพงเมือง อโยธยา  ไม่มีทัพจากในพระนครออกไปโจมตีทัพอังวะอีกแล้วคงมีกองประจำทวารทั้งสิ้นปิดทวารมั่นคง     ฝ่ายใน หลวงเวรสิทธิ์นายเวรรับราชโองการนำ       เครื่องราชกกุธภัณฑ์ แลทรัพย์ในคลังหลวง ๘-๙คลัง  ให้มหาดเล็กคนสนิททั้งหลายและนางในไปเก็บกรุซ่อนของ ที่บ่อน้ำ ทั้งฝังดินที่ กรุ วัดย่านวังหลวง และ  วัดต่างๆอีกมากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศทรงตรัสกับเหล่าราชวงศ์ ฝ่ายใน อำมาตย์ราชครูใกล้ชิดว่า    การสู้รบมาถึงที่สุดแล้วคงรักษาเมืองไว้ไม่ได้ จนพระทัยขุนนางพากันทิ้งทัพหลบหนีก็มาก  หวังพึ่งทัพพระยาตากก็ยังไม่มีมาถึง  กำลัง
เพียงน้อยในพระนครจะยันข้าศึกได้ไปอีกกี่เพลาหากอังวะเข้าเมืองได้คงบุกเข้าพระราชวัง     หากแม้นพระองค์สู้ศึกจนสิ้นหรือถูกอังวะกุมตัวได้ แม้นถึงคราวนั้นให้ทหารมหาดเล็กวางเพลิงเมืองให้หมดสิ้น     อย่าให้อังวะยึดเมืองเอาไปใช้ประโยชน์ได้      หากวันใดอโยธยามีคนดีมีความสามารถคงกอบกู้บ้านเมืองให้กลับคืนได้       ถึงเราไม่ทำลายพระนครเมื่ออังวะเข้ามาได้คงเก็บกวาดทรัพย์สินและเผาทำลายไม่ให้อโยธยาฟื้นคืน ส่วนอารามนั้นอังวะ คงละเว้นเพราะอารามของพระพุทธองค์พระสงฆ์คงไม่ลำบาก   หากใครเกรงกลัวอังวะให้เร่งหนีออกจากเมืองด้านทิศใต้ไปทางน้ำ    แล้วจึงลอบให้เหล่าสนม นางใน ราชโอรส ราชธิดาล่องเรือออกคลองฉะไกร
ยามค่ำคืน  มุ่งไปยังด้านทิศบูรพาให้หลบซ่อนในป่าห่างไกล ส่วนพระองค์และ ทหารรักษาพระองค์ทุกคนต่างไม่คิดหนีแต่อย่างใด  ครั้นถึงวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช  ๒๓๑๐  เวลาประมาณบ่ายสามโมง อังวะจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริม ป้อมมหาไชยะ และยิงปืนใหญ่ระดมจากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่ายเข้าไปในพระนคร ถูกปราสาทราชวัง วัดวาพังเสียหายมากนัก  พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา ๒ทุ่ม แม่ทัพอังวะยิงปืน เป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้านเข้าตะลุมบอน ด้วยกำลังที่เหนือกว่า อังวะเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดด้านหัวรอนั้นก่อน มีเสียงลือว่าอังวะลอบเข้าเมืองมาปลอมตัวแฝงอยู่ในพระนครทั้งเผาบ้านร้านตลาดครั้งก่อน ด้วยมีขุนนางมอญคอยให้การช่วยเหลือซ่อนเร้น     ยามนี้คนเหล่านั้นก็เข้าเปิดประตูเมืองให้กองหน้าทัพอังวะบุกทะลวงเข้ามาได้โดยทหารอโยธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ อังวะก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทิศทางทหารอโยธยาสู้จนตัวตายเกือบหมดผู้คนที่เหลือถูกกุมตัวเวลานั้นชาววังชาวเมือง อลหม่าน เพลาค่ำนั้นเกิดเพลิงเผาไหม้จากวังหลวงวังหน้าและวังหลังจนทั่ว เมื่อ ทัพหน้าอังวะทะลายกำแพงด้านหัวรอเมืองเข้ามาก็พบกับทะเลเพลิงแดงฉานข้างหน้าคงหยุดอยู่นอกกำแพงพระราชวังหลวงนั่นเอง   ทหารที่รักษากำแพงมีน้อยมากพากันวางอาวุธยอมจำนนบ้างต่อสู้ก็ถูกฆ่าฟันล้มตายศพก่ายกอง   แม้ทัพอังวะบุกเข้าเมืองมาได้ ก็ไม่สามารถใช้สถานที่ใดตั้งทัพและบุกเข้าในพระราชวังได้ท่ามกลางความอลม่าน  เพลานั้นมหาดเล็กคนสทิทก็ลอบพาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระราชตำหนักมุ่งออกมาด้านทิศใต้มีทหารองค์รักษ์ตามเสด็จเพียงไม่กี่คนมหาดเล็กเตรียมเรือชะล่าซุ่มเอาไว้พระองค์ตั้งพระทัยมุ่งหน้าตามทัพพระยาตาก นายกองอังวะที่พังกำแพงเมืองเข้ามากรูมาถึงแนวกำแพงพระราชวังก็กระจายกำลังเที่ยวค้นหาพระเจ้ากรุงศรีวังหลวงบางส่วนถูกเพลิงไหม้ จึงเร่งหาพระเจ้ากรุงศรีอโยธยา มาพบทหารกลุ่มหนึ่ง แท้จริงเป็นกลุ่มมหาดเล็กและทหารองค์รักษ์นำเสด็จจึงเข้าสู้รบกันเป็นสามารถนายกองอังวะยิงปืนเข้าใส่ต้องพระอุระพระเจ้ากรุงศรี และฆ่าฟันทหารกรุงศรีตายทั้งสิ้น จึงทราบว่าเป็นพระเจ้ากรุงศรีอโยธยา  นายกองจึงแจ้งข่าวไปยังแม่ทัพเมเมียวสีหบดี ว่าปลงพระชนม์พระเจ้ากรุงศรีลงได้แล้ว  แม่ทัพเมเมียวสีหบดีจึงสั่งให้นำพระบรมศพพระเจ้ากรุงศรีมายังค่ายโพสามต้นและให้ นายกองอังวะ รวบรวมเชลยพันธนาการแยกขุนนาง  พระวงศานุวงศ์บ่าวไพร่ ราษฎร เจ้านาย ข้าราชการ สังเกตจากการแต่งตัวว่าใครนายใครบ่าวใครไพร่     ไม่มีทางหลบเลี่ยงซ่อนตัวในพระนครได้ทั้งพระภิกษุสามเณรจำนวนมาก พระภิกษุ สามเณร
ถูกจับรวมไปคุมไว้ที่ค่ายโพสามต้น   รวมทั้งจับกุม สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรที่จำพรรษารวมกับเหล่าข้าราชการที่วัดประดู่ทรงธรรมนั้นด้วย     ส่วนราษฎรทั้งหลาย นำไปคุมขังไว้ตามค่ายต่างๆและเร่งตั้งค่ายลงที่เพนียด ที่วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ เมื่อนำพระบรมศพพระเจ้ากรุงศรีมาถึงค่ายจึงตั้งเอาไว้เช่นสามัญชนกลางค่ายท่ามกลางเหล่าเชลยศึกทั้งราชวงศ์และขุนนางอโยธยาจึงพากันร้องไห้ระงมครานี้อโยธยาสิ้นบุญแล้วจริงๆ เมเมียวประกาศชัยเหนืออโยธยาท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าแม่ทัพนายกองจึงให้ตระเตรียมพัธนาการและปักเสาเพนียด คุมขังบรรดาเชลยเพื่อเตรียมกวาดต้อนกลับอังวะและให้ฝังพระศพเอาไว้ที่กลางค่ายนั้น
บรรดาแม่ทัพนายกองอังวะพากันตระเวนทั่วพระนครและเก็บกวาดทรัพย์สินและค้นจับเชลยศึกเมื่อ ไร้ทรัพย์สินในพระบรมมหาราชวัง แม่ทัพนายกองพม่าทั้งหลายต่างทราบเรื่องคลังทรัพย์สมบัติของเจ้ากรุงอโยธยาที่มีมากนับ๘-๙คลัง ทรัพย์สินเงินทอง เพชร นิลจินดา บรรจุใส่ใหซ้อนกันสูงอีกทั้งเครื่องราชกุธภัณฑ์ของกษัตริย์ พากัน เที่ยวค้นหาไม่พบ ก็ผิดหวัง             พากันโกรธแค้นพระเจ้าอโยธยายิ่งนัก    จึงต่างมุ่งเข้าวัดวาอาราม ค้นหาทรัพย์สินเผาลอกทองพระกันนับ ๑๐กว่าวันเอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มองค์พระพุทธรูปผืนใหญ่ บีบบังคับทั้งราษฎรทั้งพระภิกษุให้บอกแหล่งของทรัพย์ที่ฝังซ่อนไว้ ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชรนั้น ขนเอาเนื้อทองคำไปหมดสิ้น
บ้านช่องขุนนาง บ้านเรือนชาวเมืองทหารอังวะพากันบุกค้นจนหมดสิ้นจับทั้งผู้คนริบทั้งทรัพย์สิน ไว้ได้ทั้งหมดสิ้น ครานี้ขจัดศูนย์กลางการบริหารอาณาจักรให้หมดสิ้นเพื่อไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน  แต่เก่าก่อนมาการโจมตีอาณาจักรเพียงการกำจัดแค่พระมหากษัตริย์แล้วกวาดต้อนนำเชลยกลับไปยังอาณาจักรอังวะ การจะซ้ำรอยครั้งพระมหาธรรมราชาให้พระนเรศวรราชาธิราชกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนได้ อีกประการหนึ่งนั้น มาจากความสามารถของทัพอโยธยาที่ประจักษ์แก่แม่ทัพพม่าว่ามีความแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรอื่นๆที่อังวะเคยโจมตีมา แม้กำลังน้อยกว่าอังวะมากนัก  แต่ยังสามารถต้านทานทัพอังวะได้นานนับปี ถ้าปล่อยเอาไว้         ไม่นานกรุงศรีโยธยาต้องสถาปนาขึ้นใหม่   คิดเช่นนั้นแล้วแม่ทัพจึงสั่งให้ตระเวนเผาบ้านเรือนที่ยังไม่ถูกเพลิงไหม้จนราบ
สิ้นกรุงศรีอยุธยาแล้วครั้งนี้อังวะมิได้แค่ต้องการยึดเมืองได้แล้วปกครองแบบประเทศราชดังเช่นครั้งก่อนหากแต่ต้องการทำลายรากฐานบ้านเมืองประชาชนราชสำนักให้หายไปโดยไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่ายๆ อังวะต้องใช้เวลานานถึง ๒ เดือน ในการเที่ยวเก็บทรัพย์สมบัติจำนวนมาก เตรียมเสบียงเลี้ยงคนและเชลย และเตรียมการต้อนเชลยศึกทั้งหมดรวมทั้งสมณะเจ้าอุทุพร และราชวงศ์กรุงศรีทั้งปวง รวมทั้ง  พลเมืองอโยธยานับแสนคนกลับอังวะแล้วเร่งยกทัพกลับ  อาณาจักรอังวะใน วันที่ ๖ มิถุนายนพ.ศ. ๒๓๑๐
ด้วยต้องตระเตรียมระดมพลรับทัพจีน ดังนั้นจึงไม่สามารถทิ้งกองทัพและจัดการปกครองกรุงศรีอยุธยาได้   เนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ได้แต่งตั้งให้ สุกี้นายทัพ คุมพล ๓,๐๐๐ ใช้ค่ายโพสามต้นเป็นที่ตั้ง คอยกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินตามกลับไปภายหลังให้หมดสิ้นทั้งแผ่นดิน 
ขณะที่ราชวงศ์บางพระองค์และขุนนางต่างเห็นกรุงศรีอยุธยาไม่มีโอกาสชนะอังวะได้นั้น เพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดชุมนุมทางการเมืองในระดับต่างๆ ซึ่งเป็น"รัฐบาลธรรมชาติ"ขึ้นมาในท้องถิ่นทันทีบรรดาพระยา เจ้าเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนักเพราะหลบเลี่ยงเกณฑ์พลเข้าทัพรักษาพระนครจึงเหลือไพร่พลมากจึงได้ตั้งตนเป็นใหญ่แยกอาณาจักรตั้งตนเป็นขุนหลวงในเขตอิทธิพลของตน   ซึ่งมีจำนวน ๔-๖ แห่ง หากแต่ไม่มีชุมนุมทางการเมืองใดคิดจะกอบกู้อโยธยา หรือฟื้นฟูให้กลับคืนดังเดิม

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขุนหลวงตาก


                          หลังถวายพระเพลิงขุนหลวง เอกาทศรุทรอิศวร (ขุนหลวงพร)กษัตริย์แห่งมหานครศรีอโยธยาแล้ว กรมพระราชวังบวรพรพินิจได้ราชาภิเษกขึ้นเป็นขุนหลวง ตามการสืบราชสันตติวงศ์  เสวยราชสมบัติเพียงไม่นานกรมขุนอนุรักษ์มนตรีพระเชษฐาก็นำกำลังเข้ายึดอำนาจ ปราบดาเปลี่ยนแผ่นดินด้วยร่วมปราบ เจ้าสามกรมมาด้วยกันจึงไม่เกิดความรุนแรงในการปราบดา ขุนหลวงพรพินิจทรงหลีกทางออกผนวชที่วัดอโยธยา ในกาลก่อนพระราชบิดาในพระบรมโกศโปรดชุบเลี้ยงมหาดเล็กผู้หนึ่งชื่อสินผู้เกิด จากหญิงชาวจีนผู้เป็นน้องหญิงออกญาเมืองเพชร รับใช้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ครั้งโตพอบวชเรียนได้ขุนหลวงจึงโปรดให้บวชเณรเล่าเรียนพร้อมมหาดเล็กอื่นๆที่สำนักวัดเชิงท่า สามเณรเล่าเรียนเขียนอ่านจนแตกฉานได้สามพรรษา  ขุนหลวงคัดเลือกสามเณรที่มีสติปัญญาอ่านเขียนแตกฉานให้เรียนกฏหมายบ้านเมืองจากออกญาจักรี(ครุฑ)เสนาบดีผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิถีทางที่ขุนหลวงไว้วางใจที่จะเลือกคนสนิทให้เป็นขุนนางออกไปอำนวยความยุติธรรมตามหัวเมืองปกครองแทนพระองค์   ครั้นขุนหลวงเอกาทศรุทรอิศวร(ขุนหลวงอนุรักษ์มนตรีขึ้นครองราชย์ทรงโปรดตั้งให้เป็นหลวงยกบัตร ข้าหลวงแทนพระองค์เชิญตรา พระราชสีห์ ขึ้นไปชำระความตามหัวเมืองฝ่ายเหนือฝ่ายใต้หัวเมืองประเทศราช

 หลวงยกบัตรสินสามารถกระทำราชกิจที่ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ยุติธรรมบังเกิดแก่หมู่ราษฎรชาวมหานคร มีความดีความชอบเป็นอย่างมาก จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้เป็นยกกระบัตรเมืองตาก ทำหน้าที่รักษากฎหมายอยู่ช่วยราชการออกญาตาก ต่อมาไม่นาน ออกญาผู้นี้รับราชการมาครั้งพระราชบิดา วัยชรามากเมื่อป่วยไข้ถึงแก่อนิจกรรมจึงทรงโปรด ให้หลวงยกกระบัตรเป็นออกญาเมืองตากซึ่งเป็นเมืองชายแดนหน้าด่านที่สำคัญระหว่าง ล้านนาประเทศราชอังวะ และอังวะ โดยจวนเจ้าเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพิงฝั่งตะวันตกใกล้ปากห้วยแม่ท้อ เรียกกันว่าจวนเจ้าเมืองสวนมะม่วง เนื่องจากบริเวนนั้นมีมะม่วงป่าขึ้นอยู่มากมาย หรือบ้างก็เรียกว่าตำหนักสวนมะม่วงเนื่องจากเคยเป็นที่ประทับของพระนเรศวราชาคราวย้ายเมืองลงมาจากเกาะตะเภา มาสร้างเมืองใหม่บริเวณ ป่ามะม่วงนี้ เนื่องจากมีทำเลเหมาะสมเป็นหน้าด่านตั้งรับแจ้งข่าวทัพอังวะและทัพล้านนา เมื่อครั้งย้ายจาก เกาะตะเภาลงมา พระนเรศวราชาโปรดให้สร้างเสาหลักเมืองเอาไว้ตรงบ้านปากร้อง ให้ไพร่ฟ้าอพยพจากบ้านระแหงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ มาอยู่ แผ้วถางป่ามะม่วง เป็นท้องนาชาวเมืองเรียกทุ่งหลวง เพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงทัพอโยธยา ยามเดินทัพมาตี ลำปาง เชียงใหม่ และอังวะ จนมาถึงสมัยออกญาสินเป็นเจ้าเมืองก็ยังคงใช้บริเวณนี้เป็นเมืองมิได้ย้ายเป็นที่แห่งใหม่ด้วยมีชัยภูมิเหมาะสมและได้ทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่านตลอดมา

                                                                                                                                                      

            วันครบรอบราชาภิเษกของสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร ขึ้นครองราชย์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติให้หัวเมืองต่างๆกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ออกญาเมืองตาก พร้อมด้วยพวกกรมการเมืองได้รวมไพร่พลร่วมกับหัวเมืองเหนือ ทั้งปวงได้แก่เมืองพิชัย  เมืองวชิรปราการ เมืองวิศณุโลก เมืองสุโขทัย ต่างเดินทางมาร่วมกระทำพิธี ณ วัดใหญ่เมืองพระวิศณุโลก   ตามประเพณี มีการละเล่นสมโภชน์ ฟันดาบ ชนไก่ ต่อยตี  หัวเมืองเหนือมีมวยท่าเสาขึ้นชื่อนัก ครั้งนี้นครูมวยห้าวเมืองตาก ตามมากับออกญาสิน ไม่มีใครกล้าเปรียบมวยด้วย ออกญาพิชัยจึงให้ตามตัวอ้ายทองดีชาวเมืองพิชัยที่รักษาบาดแผลจากเสือตะปบกับอาจารย์วัดใหญ่มาเปรียบมวย อ้ายทองดีรักษาตัวหายแล้วตรียมลาพระอาจารย์เดินทางกลับเมืองพิชัยจึงขันอาสาเปรียบมวยกับครูห้าวนั้นเอง ครูห้าวนั้นเป็นนักมวย ตลอดทั้งเมืองตากไม่มีใครสู้ได้ ผลการต่อสู้ปรากฏว่านายทองดีนั้นเก่งด้านมวยท่าเสา สามารถ เอาชนะครูห้าวได้ พระยาตากจึงตกรางวัลให้  และเอ่ยขอตัวจากออกญาพิชัย ให้อยู่เข้าสังกัดรับราชการอยู่เมืองตากด้วยกัน

อ้ายทองดีจึงตามออกญาตากมาด้วย มาอาศัยเมืองตากได้อุปสมบทที่วัดเขาแก้ว ครบพรรษาลาสิกขา  ออกญาสินจึงแต่งตั้งให้เป็นขุนทองดี นอกจากมีฝีมือเชี่ยวชาญด้านชกมวยและยังชำนาญการต่อสู้ฟันดาบ โดยเฉพาะดาบสองมือมีความถนัดเป็นอย่างยิ่ง 

                      พุทธศักราช ๒๓๐๓ อองไจยะ นายบ้าน มอกโซโบ  ได้ปราบดาภิเษก เป็นเจ้ากรุงอังวะ     พระเจ้าอองไจยะและไพร่พลของพระองค์มีความเข้มแข็งจากสามัญชนปราบดาขึ้นเป็นเจ้ากรุงอังวะ ต้องขยายอำนาจเหนือแว่นแคว้นทั้งมวลจึงจัดทัพเข้าตียึดแคว้นต่างๆ รบมอญชนะได้หงสาวดี แขกเมืองยะไข่ แคว้นไทใหญ่ และแคว้น คะฉิ่น ดำหริว่าอังวะไม่ได้ยกทัพปราบปรามกรุงศรีอโยธยา เมืองมะริด เมืองตะนาวศรีประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ทำให้การควบคุมเมืองท่าด้านอ่าวเมาะตะมะและอ่าวเมืองบางเกาะของกรุงศรีอยุธยายังไม่สามารถควบคุมได้ทำให้การค้าขายจากต่างชาติในเมืองต่างๆของอังวะในแม่น้ำเอยาวดีถูกแบ่งไปยังกรุงศรีอโยธยา ด้วยกำปั่นจากเปอร์เซียนำสินค้าขึ้นลงที่มะริดแล้วใช้ขบวนช้างม้าข้ามมายังแม่น้ำแม่กองและไปยังสุพรรณภูมิ และกรุงศรีอโยธยาโดยทำให้อโยธยามั่งคั่งหากไม่เร่งปราบปรามอโยธยานานวันจะไม่สามารถปราบปรามได้และจะเป็นภัยต่ออังวะยามใดอโยธยาเข้มแข็งบรรดาหัวเมืองอังวะที่อยู่ไกลและชิดอโยธยามักกระด้าง กระเดื่องกับอังวะ และอ่อนน้อมต่ออโยธยา  ส่วนด้านอโยธยาเปลี่ยนแผ่นดินจะยังไม่มีความเข้มแข็งจึงต้องเร่งลงมือเสียโดยมิชักช้า จึงมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าและขุนนางจัดทัพเพื่อยกมาตีกรุงศรีอโยธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร(ขุนหลวงอนุรักษ์มนตรี)

สภาพกรุงศรีอโยธยาหลังจากสิ้นพระนารายณ์ราชา มีความอ่อนแอมากขึ้นจากการแย่งชิงราชบัลลังค์และสังหารขุนนางจำนวนมาก ประเทศราชต่างๆกระด้างกระเดื่อง การควบคุมอำนาจท้องถิ่นหละหลวม ขุนนางท้องถิ่นฝากตัวเจ้านาย องค์ต่างๆไม่ยำเกรงอำนาจขุนหลวง ขุนนางตั้งตนรับสินไหมไพร่ หลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงานทั้งไพร่หลวง ไพร่สังกัดเจ้านาย เมืองหลวงขาดแรงงานซ่อมแซมกำแพงเมือง เมื่อเกิดศึกครั้งนี้จึงมีความจำกัดด้านเกณฑ์ไพร่พลอโยธยานั้นสามารถ จัดทัพเพื่อสกัดการบุกของทัพอังวะได้เพียง ๒กองทัพ คือ  ทัพที่๑ตั้งให้พระอินทราราชรองเมืองเป็น พระยายมราช แม่ทัพที่ขวา ไพร่พล ๕,๐๐๐นาย มีพระยาเพชรบุรีเป็นกองหน้า ผู้รั้งเมืองราชบุรีเป็นรองแม่ทัพ พระสมุทรสงครามเป็นเกียกกาย พระธนบุรีกับพระนนทบุรีเป็นกองหลัง ให้ไปตั้งรับที่ตำบลแก่งตุ่ม กองทัพที่ซ้าย ไพร่พล ,๐๐๐นาย ให้พระยารัตนาธิเบศร์เป็นแม่ทัพ สบทบด้วยกองทัพอาสาชาววิเศษไชยชาญขุนรองและปลัดชูจำนวน ๔๐๐ คน ไปตั้งสกัดอยู่ ณ เมืองกุยบุรี พร้อมกันนั้นพระองค์มีพระบรมราชโองการไปยังเจ้าหัวเมืองต่าง ๆ ให้เกณฑ์ไพร่ทุกเมืองส่งมาช่วยป้องกันพระนคร ส่วนชาวเมืองที่ต่อสู้ไม่ได้ให้หลบไปซ่อนตัวอยู่ในป่า อย่าให้อังวะจับตัวได้ ขณะเดียวกันกองทัพฝ่ายอังวะก็ยกทัพเข้าตีเมืองมะริดและตะนาวศรีได้ชัยชนะ กวาดต้อนทั้งสยาม ทั้งมอญเข้าทัพทัพกรุงศรีไม่สามารถไปช่วยประเทศราชทั้งสองได้ คงไปสกัดทัพอังวะได้แค่เพชรบุรี หลังจากยึดมะริด ทวายได้แล้วยกเข้าด่านสิงขรมุ่งสู่เมืองเพชรเมืองราชบุรี ปะหน้า ทัพฝ่ายอโยธยาตั้งรับสู้กันไม่นานทัพพระยารัตนาธิเบศ ถูกตีแตก ขุนรอง และปลัดชูเสียชีวิตในที่รบ ไพร่พลที่เหลือจึงถอยร่นลงมาจนถึงแขวงเมืองราชบุรี  ในที่สุดกองทัพอังวะได้ยกเข้าล้อมถึงชานพระนคร จนทำให้ภายในพระนครเกิดความวุ่นวายตกใจกลัว เนื่องจากว่างเว้นการศึกมานาน ขุนนางที่ภักดีกับกรมพระราชวังบวรพรพินิตที่ผนวช  ต่างถูกจำขังอยู่คุกลูกเมียขัถูกงตาราง

ขุนหลวงจึง ให้อภัยโทษ ปล่อยตัวขุนนางและแม่ทัพผู้ใหญ่และลูกเมีย  ให้พ้นอาญาออกมาช่วย ป้องกันพระนครเข้าสังกัดกรมพระราชวังบวรพรพินิตดังเดิม

มีรับสั่งให้สมุหนายกและสมุหกลาโหมกราบไปทูลเชิญสมเด็จกรมพระราชวังบวร พระอนุชา ให้ลาผนวชมาช่วยศึกครั้งนี้ สมณะเจ้ากรมพระราชวังบวรจึงทรงลาผนวชเพื่อ ช่วยราชการทัพ จัดระเบียบผู้คนใหม่ ตระเตรียมป้อมปราการสำหรับเป็นที่มั่นต่อสู้ข้าศึก

ด้านเหนือตั้งค่ายที่วัดหน้าพระเมรุและเพนียดคล้องช้าง 
ด้านตะวันออกตั้งค่ายที่วัดมณฑปและวัดเกาะแก้ว(ให้ออกญาตากเป็นแม่ทัพ)
ด้านใต้ หลวงอภัยพิพัฒน์  ขุนนางจีน คุมพวกจีน บ้านในไก่ ตั้งค่ายที่ บ้านสวนพลู จำนวน ๒,๐๐๐ คน        พวกคริสเตียน๒,๐๐๐ตั้งค่ายที่วัดพุทธไธสวรรย์
ด้านตะวันตก กรมอาสาหกเหล่า ตั้งค่ายที่ วัดไชยวัฒนาราม

เดือนเมษา ขึ้น ๑๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๐๓ ทัพอังวะ เข้ามาถึงกำแพงเมืองด้านเหนือและด้านตะวันออก มังระกับมังฆ้องนรธาเป็นแม่ทัพ ตั้งอยู่ทุ่งโพธิ์สามต้น เข้าโจมตีค่ายหน้าพระเมรุและเพนียดช้างจนแตกถอยร่นเข้าเมืองอังวะยึดค่ายได้แล้วเอาปืนใหญ่มาตั้ง ณ วัดราชพลี วัดกษัตรา วัดหน้าพระเมรุ วัดหัสดาวาส ระดมยิงเข้าไปในพระราชวังทั้งกลางวันและกลางคืน จนลูกปืนถูกยอดพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทลายลง กรมพระราชวังบวรได้เข้าบัญชาการรบอย่างเข้มแข็ง อังวะล้อมกรุงอยู่เป็นเวลานาน ได้พยายามตั้งปืนใหญ่ยิงเข้ามาในพระนครทุกวัน แต่ ถึงกระนั้นกองทัพอังวะก็ไม่สามารถตีกรุงศรีอโยธยาได้ พระเจ้าอองไจยะ จึงกริ้วแม่ทัพนายกองยิ่งนัก  ที่รบไม่เข้มแข็ง ในเพลาเช้าวันหนึ่งจึงเสด็จมายังค่ายวัดหน้าพระเมรุเข้าควบคุมการยิงปืนใหญ่ด้วยตนเอง บางครั้งต้องยิงปืนใหญ่ด้วยพระองค์เอง การตรากตรำวรกายมากเกินไปพระองค์จึงประชวรด้วยโรคบิดอย่างรุนแรง กองทัพอังวะจึงต้องหยุดการโจมตีกรุงศรีอโยธยาพระอุปราชเมิงลอกจึงสั่งกองทัพให้ถอยเพื่อนำเสด็จพระเจ้าอลองพญากลับอังวะ ๑๗ เมษา พ.ศ.๒๓๐๓ มังฆ้องนรธาคุมพล ๖,๐๐๐ ทัพม้า ๕๐๐ เร่งถอยออกไปทางด่านแม่ละเมา ฝ่ายอโยธยาเห็นได้ที กรมพระราชวังบวร  จึงสั่งให้ออกญาสีหราชเดโช เร่งยกทัพติดตามไปทำลายกำลังอังวะ  ๔วัน๔คืนเข้าเมืองตากยังตามมิทัน จึงยกทัพกลับพระนคร เมื่อพ้นเมืองตาก พระเจ้า อองไจยะ  ทรงสวรรคต ณ บริเวณตำบลเมาะกะโลก อยู่ระหว่างเมืองตากและเมียวดี  เมื่อทัพอังวะถอยกลับไปขุนหลวงเอกาทศรุทร  จึงสั่งเลิกทัพ เหตุการณ์ในพระนครศรีอโยธยาภายหลังเสร็จการศึกกลับมา อยู่ในสถานการณ์มืดมัวอีกครั้ง ด้วยแม่ทัพนายกองต่างพากันไปมาตำหนักวังหน้าเข้าเฝ้าเยี่ยมเยียนกรมพระราชวังบวรเป็นที่เอิกเริก ขุนนางวังหลวงพากันเพ่งเล็งและนำความขึ้นกราบบังคมทูล กรมพระราชวังบวรทราบถึงข้อเคลือบแคลงที่พระเชษฐามีกับพระองค์ จึงเห็นควรว่าต้องบวชหนีเรื่องราวอันสับสนนี้เสียอีกครั้งเพราะหากอยู่สถานะเช่นนี้พระเซษฐาอาจทรงระแวงพากันเดือดร้อน เวลานั้น ยังมีข่าวลือว่ากลุ่มขุนนางผู้ใหญ่หลายคนแสดงออกถึงการจะก่อกบฏเพื่อชิงราชบัลลังค์

เมื่อเล็งเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และเพื่อยุติเหตุการณ์ร้ายแรง พระองค์จึงตัดสินพระทัยเข้าเฝ้าพระเชษฐาลาผนวชอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นต้นเหตุให้กลุ่มขุนนางทั้งหลายที่กระด้างกระเดื่องต่อ ขุนหลวงได้เข้าเฝ้าเป็นที่บาดหมางใจกับพระเชษฐาจึงเสด็จทางชลมารคไปเมืองอ่างทองประทับที่ตำหนักคำหยาดให้ห่างไกลจากพระนครและทรงผนวชที่วัดพิ์ทองก่อนเข้าพรรษาจึงเสด็จมาจำพรรษาที่วัดประดู่โรงธรรมดังเดิม โดยมีพระประสงค์ ไม่ยอมสึกอีกเลย

                                    ทางด้านกรุงอังวะ หลังจากการสวรรคตของกษัตริย์อองไจยะ  เจ้าเมิงลอกได้ครองราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้าเนียงดอคยี และแต่งตั้งเจ้าเมิงระอนุชาขึ้นเป็นพระอุปราช เกิดความวุ่นวายขึ้นภายใน เกิดการก่อกบถในอาณาจักรหลายครั้ง จากอุปราชเมิงระ จากแม่ทัพมินคุงเนาวธา และ พระปิตุลาธโดเธียนคลู ต้องนำทัพปราบปรามมณีปุระทำให้ กรุงศรีอโยธยาสงบศึกมาหลายปี เมื่อพระเจ้าเมิงลอกสิ้นพระชนม์  อุปราชเมิงระจึงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาเป็นพระเจ้าสินพยูฉิน ก็สืบสานนโยบายต่อจากกษัตริย์อองไจยะราชบิดาด้วยการปราบปรามคู่แข่งทางการค้าและความต้องการทรัพย์สมบัติจากความมั่งคั่งของกรุงศรีอยุธยา และทำลายที่พักพิงของเมืองมอญทั้งหลาย ที่ใช้กรุงศรีอยโธยาหนุนหลังให้แข็งเมืองกับอังวะ อยู่เสมอมานานนับร้อยปี 

และพระเจ้าเมิงระ ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องลดอำนาจของกรุงศรีอโยธยาลงจนถึงให้แตกสลาย หรืออ่อนแอจนไม่อาจเป็นที่พึ่งให้กับหัวเมืองที่คิดตีออกห่างมาพึ่งอาณาจักรอโยธยาได้อีก โดยมิใช่แค่การขยายอาณาเขตอย่างเคยคือยึดเมืองไว้เป็นประเทศราชเหมือนเช่นบรรพบุรุษคือพระเจ้าบุเรงนองเคยทำ สงครามกับอโยธยาครั้งก่อนพระเจ้ามังระได้คุมทัพ เสด็จมาในกองทัพของพระราชบิดา หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ                                                                                                                                                                           

จึงนำบทเรียนและประสบการณ์ในการรบกับกรุงศรีอโยธยาครั้งก่อน ทำให้ทรงรู้จุดอ่อนของกรุงศรีอโยธยา

                      ประการแรกระบบทัพของอโยธยา ต้องระดมไพร่พลทัพจากหัวเมืองรอบๆที่สำคัญคือหัวเมืองด้านเหนือของกรุงศรีอโยธยา ดังนั้นเมื่อ พระเจ้ามังระตัดสินใจทำสงครามกับกรุงศรีอโยธยาแผนขั้นแรกต้องทำการปราบกบฏในแว่นแคว้นต่างๆเพื่อเกณฑ์ไพร่พลมาร่วมทัพให้มากที่สุด และแผนขั้นต่อมาคือจัด ทัพล้อมกรอบกรุงศรีอยุธยาทั้งด้านเหนือและด้านใต้เพื่อให้อโยธยาไม่สามารถเกณฑ์ไพร่พลได้และโดดเดี่ยวกรุงศรีอโยธยา

                       ปีวอกพ.ศ.๒๓๐๗  อังวะระดมไพร่พลพร้อมสรรพาวุธครบ และต้องระดมกองทัพจากประเทศราชอีก มหานรธานำทัพ ๓๐,๐๐๐ ขณะนั้นอโยธยาเสียทะวาย มะริด และตะนาวศรีให้อังวะไปคราวพระเจ้าอองไจยะแล้วแต่ เจ้าทวายยังมีใจภักดีต่ออโยธยาจึงหนีเข้ามากรุงศรีอโยธยา แจ้งข่าวทัพอังวะกับ อโยธยา

                        จัดอีกทัพหนึ่งให้เสนาบดี เนมะโยสีหะปะเต๊ะไพร่พล ๔๐,๐๐๐ไปกะเกณฑ์ผู้คนทางหัวเมืองคะฉิ่น ฉาน จามปาสัก หลวงพะบาง เมืองจัน เมืองเวียงตุงเมืองเวียงใหม่ เพิ่มอีก   เวียงใหม่นั้นอยู่ในปกครองตองอู และหงสาวดี มาช้านาน สยามทั้งสุโขทัย และกรุงศรีอโยธยาต่างแย่งชิงมาอยู่ในปกครองเป็นบางยุคสมัยครั้งแผ่นดินพระนารายณ์สามารถยึดเชียงใหม่เป็นประเทศราชได้

                         ทั้งสองทัพเคลื่อนพลจาก หงสาวดี มหานรธารวมไพร่ ทวายมะริด ตะนาวศรี เดินทัพทางช่องเขาสิงขรมุ่งเข้าตีเพชรบุรี        ส่วนทัพเนมะโยสีหะปะเต๊ะเข้ากรุงศรีอโยธยาทางเหนือ  ขณะอังวะเปลี่ยนแผ่นดินจากอองไจยะ ล้านช้าง ล้านนา ต่างแข็งเมืองกับอังวะเป็นอิสระ ส่วนกรุงศรีอโยธยาก็ไม่สามารถส่งกองทัพไปช่วยกับล้านนาได้  ทัพอังวะเมื่อผ่านแม่ละเมาก็มุ่งตีล้านช้าง ล้านนาปราบปรามได้ก็รวมไพร่พลมาตั้งรวมพลเมืองลำพาง

                           ฝ่ายอโยธยาระหว่างที่การเมืองยังไม่มั่นคงจากการเปลี่ยนแผ่นดินมีเจ้านาย และขุนนางเก่าจ้องปราบดาพระเจ้าเอกาทศรุทร  ขุนหลวงไม่มีกำลังทัพที่จะยกไปช่วยอาณาจักรล้านนาได้และด้วยเกรงทัพอังวะด้านทวายจะรุกเข้ามากรุงศรี จึงทำได้แต่เพียงเตรียมไพร่พลป้องกันกรุงและออกหมายเกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองต่างๆให้นำกำลังมาป้องกันพระนคร เมื่อขุนนางแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันกำลังจากการเกณฑ์ก็ต่างไม่ร่วมมือกันด้วยยึดถือฝ่ายเจ้านายตนเป็นที่ตั้งมีเมืองหลายเมืองไม่ยอมส่งไพร่พลมาจึงไม่สามารถใช้ยุทธวิธีไปรบในที่มั่นเมืองประเทศราชได้ ขณะข่าวการศึกของอังวะที่เมืองหน้าด่านส่งมายังพระนครหยั่งกำลังข้าศึกมี การรวมไพร่พลสักห้าหมื่นคนเพื่อป้องกันพระนครในยามที่ท้าวพระยาที่มีไพร่ในสังกัดแข็งข้อกับราชสำนักนั้นออกจะยากเย็น   เมืองหลายเมืองถ่วงเวลาชักช้าไม่ส่งคนมาพระนคร อำนาจลงฑัณฑ์ขณะมีศึกมาประชิดเช่นนี้      การลงโทษทัณฑ์จึงต้องพักเอาไว้ เป็นเรื่องสะท้อนถึงพระราชอำนาจ

                             อังวะ เริ่มเคลื่อนทัพมุ่งลงใต้สู่อโยธยา  อโยธยานั้นมีกำลังเพียงจัดทัพไปสกัดกั้นการบุกของทัพอังวะจากล้านนาและจากทวาย เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น    มิอาจหวังผลแตกหักทำลายทัพอังวะได้  ออกญาตากจัดกองสอดแนมไปเฝ้าข้าศึกถึงเมืองลำพางแล้วคอยแจ้งเตือนมาเป็นระยะ มีเรือแจ้งข่าวจากพระนครด้วยสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรุทรมีราชโองการให้ออกญาตาก เทครัวตาก วิศณุโลก กำแพงเพชร สุโขทัย ลงมาพระนครแลนำไพร่พลไปสมทบเข้ากับออกญาสุโขทัย ออกญาวิศณุโลกชลอทัพอังวะด้านเหนือ เสร็จแล้วเร่งลงมาช่วยทัพในพระนคร

                              ออกญาตากจึงป่าวประกาศให้เร่งรีบเร่งเก็บเกี่ยวเสร็จเร็วพลันแล้วพากันเทียมเกวียนบรรทุกข้าวปลาอพยพลงไปพระนครหากใครห่วงเคหาวัวควายให้ซ่อนตัวตามป่าอย่าให้ต่อสู้ให้อังวะจับตัวได้ แล้วตัวข้าจะกลับมาฟื้นฟูเมืองหลังเสร็จศึกรับใช้ขุนหลวงที่พระนคร แล้วจึงให้ผู้รั้งเมืองระแหงเป็นนายทัพเป็นกองรักษาด่านเมืองคอยส่งข่าวทัพอังวะพร้อมจัดไพร่พลจำนวนหนึ่งไม่มากนักอยู่เป็นกำลัง

                                ส่วนเมืองกำแพงเพชรเวลานั้น ออกญากำแพงเพชรถึงแก่อนิจกรรม ผู้รั้งเมืองกำแพงจึงนำครัวกรรมการเมือง พร้อมไพร่พลมากับทัพออกญาตากไม่เหลือทิ้งไว้ ขบวนไพร่พลของออกญาตากล่องเรือมาไม่กี่เพลาก็ถึงพระนครจึงเข้าเฝ้าขุนหลวง                          

                                เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองมาถึงขณะนี้ ขุนหลวง จึงเรียกขุนนางทั้งปวงมาเข้าเฝ้าปรึกษาการทัพ ด้วยอังวะเคลื่อนทัพมาจวนถึงพระนครหากมัวย่อหย่อนชักช้าจะรับทัพอังวะไม่ทันการป้องกันเมือง จึงแต่งตั้ง บรรดาขุนนางให้เป็นแม่ทัพนายกองต่างๆเพื่อเตรียมรับศึก ด้วยเจ้าเมืองกำแพงเพชรป่วยถึงแก่อสัญกรรมจึงโปรดให้ไพร่พลกำแพงเพชรรวมจัดทัพขึ้นบังคับบัญชากับออกญาตาก  โปรดให้ช่างต่อเรือกำปั่น และติดตั้งปืนใหญ่ รักษาทางน้ำรอบพระนคร  ให้จัดทัพแยกตั้งค่ายรายล้อมรอบพระนคร ๕๐ ค่าย ห่างคูเมือง ๕๐๐เส้น ให้ไพร่พลเร่งสร้างค่ายทั้งวันทั้งคืน เสร็จแล้วให้จัดทัพออกญา พระ หลวง ขุนรับผิดชอบป้องกัน   พร้อมเก็บเสบียงอาหารใส่ป้อมให้ครบครันออกญาวิศณุโลกตั้งทัพที่ภูเขาทอง  ทัพเมืองราชเสมาตั้งค่ายวัดเจดีย์แดงให้ ออกญารัตนาธิเบศนำไปตั้งค่ายรับทัพเรืออังวะที่เมืองบางเกาะ ออกญายมราชตั้งค่ายเมืองตลาดขวัญ  ออกญาตากตั้งค่ายวัดเกาะแก้วป้องกันหน้าคูเมืองตะวันออก มีค่ายใหญ่ ได้แก่ ค่ายหัวรอ ค่ายวัดไชย ค่ายจีนคลองสวนพลู ค่ายอื่นๆวังหน้า วัดมณฑป วัดนางชี วัดพิชัย วัดเกาะแก้ว วัดจีน ปากคลองในก่าย ค่ายวิลันดา ค่ายโปตุเกตุ ค่ายคลองจีน ค่ายออกญากง ค่ายคูงาม พุทไธศวรรค เซนโยเซฟ วัดแร้ง วัดราชพลี วัดกษัตรา วัดการ้อง วัดศาลาปูง อู่เรือหลวง ปากคลองตะเคียน หน้าพระเมรุ คลองสระบัว  แม่นางปลื้ม สามพิหาร ไพร่พลที่อพยบจากหัวเมืองให้ประจำเชิงเทินประจำกำแพงเมืองโดยรอบ                

                  บรรดาท้าวพระยาเจ้าเมืองหรือผู้รั้งเมืองขณะนั้นต้องนำไพร่พลเมืองลงมาเข้าทัพกับทัพหลวงเพื่อป้องกันพระนคร ซึ่งมีหลายเมืองต่างไม่จงรักภักดีกับขุนหลวง พากันไม่ส่งไพร่พลมาพระนครเลือกที่จะหนีบ้างอ่อนน้อมกับอังวะบ้าง เพื่อรักษาตัวรอด      บางเมืองเลือกที่จะป้องกันตนเองเข้าต่อสู้กับทัพอังวะ    

                            กองทัพด้านเหนือของ เนมะโยสีหะปะเต๊ะผ่านเมืองใดก็ป่าวประกาศให้ชาวเมืองมาเข้าร่วมทัพแล้วจะละเว้นชีวิต กองทัพสี่หมื่น ฝ่ายเหนือของอาณาจักรอังวะ ภายใต้การบัญชาการของเนมะโยสีหะปะเต๊ะได้จัดแบ่งกำลังพลออกเป็นทัพบกและทัพเรือ ทั้งหมดยกออกจากลำปางใน

                          เดือนสามเดือนสี่ ปีวอกพ.ศ.๒๓๐๘ มุ่งเข้าตีเมืองตาก ระแหง เทครัวมาพระนคร  พระสวรรคโลก ออกญาสุโขทัยทิ้งเมืองหลบหนีอังวะ ออกญาพิษณุโลกตั้งรับพลางถอยพลางมาพระนคร  อังวะจึงผ่านเข้าเมืองเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจึงตั้งกองบัญชาการกองทัพเอาไว้ที่กำแพงเพชร หลังจากนั้นก็ได้แบ่งกำลังออกเป็นสองกองทัพ ทัพหนึ่งมีติรินานตะเตงจานเป็นแม่ทัพ  อีกกองทัพให้จอคองจอตูเป็นแม่ทัพตีเมืองเชลียง พิชัย เมืองจัน(นครสวรรค์) และอ่างทอง ต่างยอมอ่อนน้อมกองทัพอังวะจึงผ่านเมืองต่างๆได้อย่างง่ายดาย ส่วนทัพหลังกองเกียกกายก็เข้าเก็บเสบียง ปล้นชาวเมืองต่างๆรวมข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงทัพ

                        เดือนสาม ๒๓๐๙ กองทัพอังวะกากวาดต้อนชาวสยามและข้าวปลาอาหารพบค่ายบ้านระจันเมืองวิเศษไชยชาญ ชาวบ้านระจันไม่ยอมอ่อนน้อมจึงเข้าตีค่ายอยู่หลายเพลาก็ยังไม่ได้ชัยชนะเหนือชาวบ้านระจัน ซึ่งการรบของชาวค่ายบางระจัน นับว่าเข้มแข็งมากแต่ด้วย ขุนหลวงให้เมืองต่างๆเทครัวกับนำไพร่พลมาป้องกันพระนคร ซึ่งหากขัดราชโองการต้องพากันหนีซ่อนอย่าให้ถูก อังวะจับตัวได้ ซึ่งประเมินสถานการณ์แล้วค่ายชาวบ้านไม่มีทางสู้รบกับกองทัพอังวะขนาดใหญ่ได้ อีกประการพระนครและค่ายรบต่างๆต้องการทั้งเสบียงอาหาร แล ศราตราวุธจำนวนมาก  ประกอบกับเมืองหลวงก็ติดพันศึกจึงไม่สามารถส่งทัพย่อยๆไปช่วยกลุ่มต่างๆนอกพระนครได้ อาวุธปืนใหญ่และกระสุนดินดำก็มีจำกัดไม่สามารถส่งไปช่วยได้ ด้วยบางระจันอาสารบกันเองหากส่งปืนใหญ่ไปโดยไม่มีทัพสนับสนุนไปพร้อมกันทัพอังวะคงแย่งชิงไปใช้ยิงชาวบางระจันนั่นเองวันเพ็ญ ๒๓ มิถุนายน  ๒๓๐๙ ค่ายบ้านระจันก็แตก ครัวบางระจันจึงถูกสังหารนับพันคนและจับเป็นเชลยทั้งหมด

มีใบบอกจากกองสอดแนมเมืองกาญจน์ส่งลงมาว่าทัพอังวะยกออกจากทะวายเข้าด่านสิงขรเพื่อเดินทัพ ๑ เดือนเข้าโจมตีเพชรบุรี ส่วนอโยธยาให้ออกญาพิพัฒน์โกษาธิบดี และ ออกญารัตนาธิเบศสมุหกลาโหมเป็นแม่ทัพหลวงยกกองทัพ ๖๐,๐๐๐ออกไปป้องกันเมืองเพชรบุรี ตั้งทัพเรือที่บางกุ้ง รบพุ่งกับทัพอังวะจนอังวะล่าถอย  ยั้งทัพได้ไม่นาน อังวะแม้ถอยแต่ตระเตรียมทัพยั้งทัพที่หัวเมืองมอญอโยธยามิได้ถอยกลับ ด้วยประเทศราชนครศรีธรรมมาแข็งเมืองไม่เข้าร่วมสู้รบกับอังวะที่เพชรบุรี เดือนเจ็ดปีวอก ขุนหลวงโปรดให้ทัพออกญาพิพัฒน์โกษามายั้งทัพด้านเหนือ  ทัพสุโขทัย และพิษณุโลกยั้งทัพอังวะด้านเหนือไม่สามารถยั้งได้จึงได้เทครัวเมืองมายังพระนครหมดสิ้น กองทัพของอังวะด้านนี้จึงเคลื่อนพลได้สะดวก               

                       กองทัพอังวะฝ่ายใต้ ของแม่ทัพ มหานรธา หลังจากต้องร่นถอยจากทัพออกญากลาโหมเมื่อปีก่อน ก็เข้าเกณฑ์พลหัวเมืองมอญได้เพิ่มเติมจำนวนมาก ตั้ง มีเนเมียวกุนเยะ และ คุเชงยานองจอ เป็นปลัดทัพ  ตั้ง เมคะราโป เป็นแม่ทัพหน้า ตั้ง   เมขะระโบ เป็นนายกองนำกำลัง ๕,๐๐๐ เคลื่อนเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ อีกทางหนึ่งด้านกรุงศรีอโยธยา กองทัพพระพิเรนทรเทพเจ้ากรมตำรวจ มีจำนวนพล ๓,๐๐๐ ที่ตั้งรักษาเมือง กาญจนบุรีอยู่  เข้ารบกับเมขะระโบ  อังวะนั้นมีกำลังมากกว่าก็ตีกองทัพพระพิเรนทรเทพแตกไพร่พลที่เหลือหนีกลับพระนคร อังวะจึงยกเข้ามาถึงลำน้ำแควมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลลูกแก ตำบลดอกละออม ข้ามฟากน้ำมาตั้งค่ายที่ ดงรังหนองขาวอีกแห่ง หนึ่ง ส่วนทัพหลวงของมหานรธาเคลื่อนทัพเข้าด่านสิงขรรุกเข้าตีเมืองเพชรบุรี จากนั้นจึงเคลื่อนมายังราชบุรี สุพรรณบุรี ตามลำดับ รั้งเมืองราชบุรี เมืองสุพรรณบุรี และเมืองไทรโยค ยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพอังวะไม่มีเมืองใดถอยทัพเข้าร่วมกับทัพพระนคร

                              เมื่ออังวะมาถึงเมืองนครชัยศรี มหานรธาจัดทัพใหม่ขึ้น โดยเลือกไพร่พล ช้างและม้าจากเมืองต่าง ๆ ให้ เมจขี กามะณีสานตะคุม ไปเป็นทัพหน้า และมหานรธาคุมกองทัพหนุนตามไป ทั้งหมดมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงศรีอโยธยา   เพื่อบรรจบทัพเนมะโยสีหะปะเต๊ะ  ที่ยกมาจากแคว้นล้านนา

                             ปีวอก พุทธศักราช ๒๓๐๗ ถึง ปีระกา๒๓๐๘ ทัพอังวะก็ยึดหัวเมืองด้านตะวันตกด้านเหนือของกรุงศรีอโยธยาได้ไม่ยากเย็นนักไพร่พลล้มตายไม่มากจนเสียการยุทธ ทัพหน้าอโยธยาตั้งรับอังวะที่บ้านโพธิ์สามต้น คอยรั้งหน่วงตัดกำลังและหยั่งกำลังทัพอังวะราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๐๙ ได้เข้าปะทะกับทัพ เนมะโยสีหะปะเต๊ะ ที่ปากน้ำประสบ มีออกญากูระติ เป็นแม่ทัพบก ออกญากลาโหมเป็นแม่ทัพเรือ กองทัพอโยธยาถูกตีแตกถอยกลับเข้าพระนครไพร่พลล้มตายจำนวนมาก ออกญากลาโหมถูกจับตัวพร้อมอาวุธเป็นจำนวนมาก ไพร่พลอีกมากตกเป็นเชลย กองทัพเนมะโยสีหะปะเต๊ะจึงรวมพลตั้งค่ายใหญ่ที่วัดสีกุก ปากน้ำประสบนั้น อังวะโจมตีค่ายอโยธยา ได้รับชัยชนะแล้วเร่งรื้อกำแพงวัดวา ตั้งค่ายวัดภูเขาทอง วัดการ้อง ขยายวงล้อมไปทางวัดกระซ้าย วัดเต่า วัดสุเรนทร์ ปิดล้อมกรุง    ส่วนค่ายอโยธยาด้านตะวันตกมีหลวงพิพัฒน์คุมค่าย สู้รบอย่างกล้าหาญยังสามารถรักษาค่ายไว้ได้

                               ด้านกองทัพมหานรธา  รุกคืบหน้าเข้าตั้งทัพยังหมู่บ้านกานนี  ขุนหลวงให้  ออกญาพลเทพจัดไพร่พลเข้าตีแต่ ถูกอังวะรุกกลับแตกพ่ายถอยกลับพระนคร     เมื่อทราบ ว่าเนมะโยสีหะปะเต๊ะ  มาตั้งที่ปากน้ำประสบชานพระนครแล้ว มังมหานรธา  จึงย้ายทัพมาตั้งประชิดที่ด้านหลังของ พระมหาเจดีย์ภูเขาทอง ในระยะห่างจากกำแพงพระนคร ไม่เกิน ๒๐๐๐เมตร อังวะกระจายกำลังออกเกลี้ยกล่อมผู้คนพลเมืองในเส้นทางที่ทัพผ่าน รอบๆกรุงศรีอโยธยา ทำให้พลเมืองไปเข้ากับอังวะเป็นจำนวนมาก

                           เมื่อยึดค่ายด้านตะวันตกบางส่วนได้แล้ว มหานรธา พร้อม เนมะโยสีหะปะเต๊ะก็โอบล้อมยึดค่ายอโยธยา ไพร่พลเข้าสู้รบกันฝ่ายอโยธยาแตกพ่ายถอยกลับเข้าพระนครทั้งค่ายวัดเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์

 ฝ่ายอโยธยาตั้งปืนใหญ่ป้องกันบนกำแพงเข้มแข็งยิงค่ายอังวะที่ยึดจากฝ่ายอโยธยา ทำให้ ฝ่ายอังวะต้องให้ไพร่พลพูนดินค่ายต่างๆทั้ง ๒๗ ค่าย รอบกรุงกำบังปืนใหญ่อโยธยาและเข็นปืนใหญ่ขึ้นตั้งบนเนินดินยิงถล่มเข้ามาในพระนคร

                       กรุงศรีอโยธยาสูญเสียค่ายรอบๆกรุงทั้งด้านเหนือ และด้านตะวันตกแก่อังวะ ส่วนค่ายด้านตะวันออกยังสามารถควบคุมทัพเรือของอังวะที่มาจากด้านเหนือไม่ให้เข้าประชิดกำแพงเมืองได้  ประกอบด้วยค่ายพระเนียดคล้องช้าง ค่ายวัดพิชัย วัดเกาะแก้ว มีออกญาเพชรบุรี และ ออกญาตาก รักษาค่ายอย่างมั่นคง ส่วนด้านใต้มีปืนใหญ่ป้อมเพชร คอยยิงสำเภาอังวะไม่ให้เข้าประชิดเมือง

                                 อังวะมาล้อมประชิดเมือง ตั้งแต่แล้งของปี ๒๓๐๙ ต้องต่อสู้กันแล้วหลายยก ขณะตั้งรับอังวะคับขันอยู่นั้น ส่วนอโยธยาจะบังคับหัวเมืองตนเองก็แสนยาก   เมือง พิมาย ราชสีมา ระยอง จันทบูร วิษณุโลกเป็นเมืองที่ทัพอังวะไม่มีประสงค์ผ่านไปโจมตี เมืองเหล่านี้ล้วนกระด้างกระเดื่องไม่ส่งคนมาช่วยพระนครโดยนิ่งเฉยอยู่ ออกญาวิษณุโลกนั้นลงมาตั้งค่ายรักษากรุง พร้อมออกญาตากได้ไม่นานก็ทิ้งทัพกลับเมือง มีขุนนางผู้ละทิ้งหน้าที่ระหว่างการทัพหลายคนเมื่ออังวะจัดทัพเข้าตีค่ายยังมิทันต่อสู้ก็พากันหนี มี พระยาพลเทพ หลวงโกษา พระยารัตนาธิเบศร์ พระยานครราชสีมา เจ้าศรีสังข์ เป็นต้น

                                   ด้านกรมหมื่นพิพิธกลับมาจากลังกาเข้าเมืองที่จันทบูรทราบเรื่องศึกอังวะจึงได้รวมไพร่พลคอยดูท่าที ข้าศึกประชิดคับขันเช่นนี้ ไม่มีกำลังเพียงพอ ที่จะไปปราบปรามได้   อันตัวกรมหมื่นเทพพิพิธท่านนี้สนับสนุนให้กรมพระราชวังบวรขึ้นครองราชย์ดังนั้นเมื่อกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ขึ้นครองราชย์จึงถูกเนรเทศไปลังกา ขณะนั้นบ้านเมืองเกิดศึกกับอังวะในประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๐๙ จึงเดินทางกลับมาพร้อมหม่อมเจ้าประยงโอรส  ชักชวนเจ้าเมือง จันทบูร ให้ตั้งตน แข็งข้อกับกรุงศรีอโยธยา และไม่เกณฑ์ไพร่พลไปร่วมทัพในพระนคร

                                    กรมหมื่นเทพพิพิธพร้อมไพร่พลไม่มากนักเดินทางจากจันทบูรมาเมืองแกลง เมืองพญาเร่และเดินทางยาวไกลถึงเมืองราชเสมา เกลี้ยกล่อมพระยาราชเสมาให้เข้าร่วมทัพไปชิงอำนาจขุนหลวงเอกาทศรุทร พระยาราชสีมายังภักดีจึงไม่ตกลงด้วย

กรมหมื่นเทพพิพิธจึงให้หม่อมเจ้าประยงโอรสและพระมหาพิชัย คนสนิทลอบสังหารพระยาราชสีมา ยึดได้เมืองแล้วต้องสู้รบกับหลวงแพ่งน้องพระยาราชสีมาที่นำทัพร่วมกับพระยาพิมายมาชิงเมืองคืนได้กุมตัวกรมหมื่นเทพพิพิธหลวงแพ่งให้ประหารเสีย แต่พระยาพิมายเคารพในเชื้อพระวงศ์ไม่ยินยอมจึงขอตัวไปยังพิมายและยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นเจ้าเมืองพิมาย เจ้าพิมายคนใหม่(กรมหมื่นเทพพิพิธ)แต่งตั้งเจ้าเมืองพิมายให้เป็นเจ้าพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์ กับเรียกระดมรวบรวมหัวเมืองภาคอิสานทั้งปวงได้หมื่นคน เตรียมตั้งอาณาจักรไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป  

                                        การศึกกับอโยธยาครั้งนี้เป้าหมายของอังวะมิได้ต้องการได้อโยธยาเป็นประเทศราชแต่ต้องกำจัดอาณาจักรที่มีความเข้มแข็งใกล้เคียงกันให้สิ้นซากเพื่อควบคุมประเทศราชที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ อาณาจักรอโยธยาทั้งหมด และยึดความเป็นเมืองท่าของกระศรีอยุธยาที่มั่งคั่งจากการค้าให้มาอยู่ในมือของอังวะ เพราะเป้าหมายที่สูงดว่านั้นคือเตรียมกำลังเอาไว้สู้กับชาติฝรั่งและชาติจีนที่มีอาวุธชั้นดีได้ และที่สำคัญอโยธยาเป็นผู้สนับสนุนชนชาติมอญให้แข็งข้อกับอังวะ

                              ถึงกลางเดือน กันยายน พ.ศ. ๒๓๐๙ ฝ่ายพม่าก็เข้ามาตั้งติดกำแพงพระนครห่างกันแค่คูเมืองและแม่น้ำขวางกั้นเท่าระยะปืนใหญ่ ภายใต้วงล้อมนี้ อโยธยาไม่สามารถพลิกผลันสถานการณ์ได้เลย ในพระนครเริ่มขาดแคลนอาหาร ประสิทธิภาพและขวัญกำลังใจของกองทัพเสื่อมโทรมอังวะแต่งกองโจรข้ามแพมาปีนกำแพง ทหารประจำปืนใหญ่บนกำแพงตกใจกลัวฝ่ายอังวะจะปีนเข้ากำแพงเข้ามาก็ยิงปืนใหญ่อื้ออึงลูกปืนตกลงในแม่น้ำ ขุนหลวงเห็นว่าหากแม่ทัพนายกองควบคุมไพร่เลวไม่ดีไม่นานกระสุนดินดำที่ขาดแคลนก็จะหมดลงจึงดำรัสให้นายกองพิจารณาเป้าหมายให้ดีก่อนยิงปืนใส่อังวะเพื่อประหยัดกระสุนดินปืนไว้ใช้ยามตะลุมบอนข้าศึก  

                        ในพระนครอดอยากขาดแคลน ขุนหลวง จึงให้ออกญาตาก คุมกองกำลังไพร่พลและนายกองฝีมือดีออกไปทำลายป้อมค่ายพม่า ที่วัดโปรดสัตว์นอกเมือง ออกญาตาก ตีป้อมค่ายอังวะแตกได้ให้ส่งสัญญาณ จึงให้กองทัพในเมืองส่งกำลังหนุนขึ้นมารักษาป้อมค่าย  เพื่อที่จะได้รุกคืบตี เอาป้อมค่ายอื่น ๆของ อังวะ ต่อไป แต่ทางพระนครขาดกำลังมาก พระยากลาโหมจึงไม่สามารถจัดกองกำลังออกไปสนับสนุนช่วยรักษาป้อมค่ายที่ ตีได้   แม่ทัพอังวะ จึงสั่งให้ทหารอังวะที่อยู่ในค่ายอื่น ๆ นำกำลังทหารโหมรุมเข้าต่อสู้ยึดค่ายคืน  ออกญาตากจึงจำต้องถอยร่นกลับเข้าพระนคร