ตอนที่
๑๔ ราชวงศ์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอโยธยา
หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
สมเด็จพระนารายณ์เสร็จสิ้น พระยากลาโหมสุรสีห์ก็จัดพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็น
พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๒๘ของอาณาจักรศรีอโยธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดมเป็นต้นราชวงศ์
ในภายหลังเรียกว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระเพทราชา
(ทองคำ) หรือมีพระชาติกำเนิดเด่นมาจากสามัญชน ชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี
เป็นบุตรของสามีท้าวศรีสัจจาหรือพระนมเปรม (พระนมชั้นโท) และมีพระขนิษฐาคือท้าวศรีจุฬาลักษณ์
(แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำแหน่งรักษาการสมุหกลาโหม
สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระนารายณ์ พระยาทองคำปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมายุ
๕๖ พรรษา ในปีพ.ศ.๒๒๓๑ – พ.ศ.๒๒๔๖ ในสมัยพระเพทราชานี้พระองค์ได้เร่งทำการค้าขายกับชาวต่างด้าวหลังจากเกิดชะงักงันช่วงปลายรัชกาลแผ่นดินก่อนจึงส่งฑูตไปเมืองปัตตาเวีย
ที่เกาะชวา ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของฮอลันดา เพื่อติดต่อเรื่องการค้า
และย้อนไปยืนยันสิทธิการผูกขาดทางการค้าหนังสัตว์อย่างที่เคยทำมา
โดยที่ฮอลันดายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอยุธยาก็สืบเนื่องจากที่ฮอลันดา
ไม่ประสงค์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างที่ฝรั่งเศสและชุมชนญี่ปุ่นเคยกระทำมา
ทำให้เรื่องราวของการต่างประเทศในรัชสมัยพระเพทราชาไม่มีปัญหาใหญ่อย่างที่เกิดในสมัยพระนารายณ์
แต่อุปสรรคสำคัญของพระเพทราชาที่ไม่แตกต่างจากสมัยพระนารายณ์ก็คือ
สถานะความมั่นคงของพระองค์ การยอมรับในชาติกำเนิด
การแสดงออกด้านการเป็นจอมทัพเนื่องจากปราศจากสงคราม เมื่อพระองค์มีที่มาจากสามัญชนที่รวบรวมกำลังสามารถปราบดาภิเษกเป็พระมหากษัตริย์ได้
ดังนั้น ในสมัยของพระองค์จึงเกิดกระแสความพยายามในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใหญ่ๆ
๒ ครั้ง คือ กรณีกบฎธรรมเถียร และ กบฏบุญกว้าง ทั้งสองกรณีนี้เกิดขึ้น
เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายใต้สถาบันกษัตริย์อยุธยาที่ดูเหมือนว่าไม่ได้มีสถานะอำนาจที่สูงมากจนท้าทายอะไรไม่ได้เลย
ทำให้ พระธรรมเถียรอดีตขุนนางคนสนิทของเจ้าฟ้าอภัยทศพระอนุชาสมเด็จพระนารายณ์ได้ปลุกระดมไพร่รวบรวมผู้คนจากดินแดนลุ่มแม่น้ำป่าสัก
สระบุรี ลพบุรี นครนายก หมายเข้าล้มล้างอำนาจของพระเพทราชา และตั้งตนเป็นกษัตริย์
ด้วยพระยาสุรสีห์ก็เป็นขุนนางในสมเด็จพระนารายณ์
ตัวพระธรรมเถียรก็เป็นขุนนางในเจ้าฟ้าอภัยทศ จึงไม่มีความเคารพยำเกรงตัวพระยาสุรสีห์
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกำลังสรรพาวุธของอาณาจักรที่อยู่ในอำนาจของพระมหากษัตริย์
โดยธรรมเถียรที่ขี่ช้างมานั้นถูกปืนใหญ่เสียชีวิตทันที
ส่วนกรณีกบฎบุญกว้างก็มีที่มาต่างจากธรรมเถียรตรงที่
บุญกว้างเป็นอำนาจของท้องถิ่นที่ห่างจากอยุธยาออกไป (เมืองนครราชสีมา)
ที่ท้าทายอำนาจของกษัตริย์ที่อยุธยาที่ในสมัยพระเพทราชายึดอำนาจมานั้น
ทำให้พอจะมองได้ว่าศูนย์กลางของอยุธยาไม่ได้มีอำนาจที่มั่นคงมากพอที่จะควบคุมได้
จึงพยายามท้าทายอำนาจ ซึ่งในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อกองกำลังของอยุธยาที่ยังเป็นศูนย์กลางอาณาจักรอยู่ดีประเด็นสำคัญของการเมืองในราชอาณาจักรอยุธยาที่ยังคงท้าทายให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ของกษัตริย์และขุนนางอยุธยายังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอมา
และเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งนอกจากการปราบดาภิเษกในช่วงของพระเพทราชา
คือการกำจัด เจ้าพระยาศรีธรรมราช (โกษาปาน) ราชฑูตคนแรกที่ไปยังกรุงปารีสนั้น
เกิดขึ้นจากความไม่ไว้วางใจของพระเพทราชา
ท่านโกษาปานเป็นคนที่ไม่ไว้ใจฝรั่งเศสเป็นคนที่เข้าด้วยกับพระเพทราชในการต่อต้านฝรั่งเศสมาตลอด
แต่ พระเพทราชาเห็นว่า เจ้าพระยาศรีธรรมราช นั้นมียศ อำนาจ บารมี และความฉลาดหลักแหลมมากพอที่อาจเป็นภัยต่อพระราชบัลลังก์ได้
พระองค์มิได้สั่งสำเร็จโทษทางตรง แต่มีเหตุรับสั่งบางอย่างต่อท่านโกษาปาน
จนในที่สุด เจ้าพระยาศรีธรรมราช หรือ
โกษาปานก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยดาบของตัวเองสมเด็จพระเพทราชาครองราชย์ยาวนาน ๑๕
ปีสวรรคตด้วยพระชมมายุ ๗๑ พรรษา
พระมหากษัตริย์องค์ที่๒๙ของอาณาจักรศรีอโยธยา
องค์ที่๒ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดีพระสรรเพชญ์ หรือพระเจ้าเสือ
พระนามเดิมคือ หลวงสรศักดิ์ได้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราช
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลสมัยพระเพทราชา และได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระเพทราชา
พระเจ้าเสือเป็นบุตรจางวางกรมช้างในแผ่นดินพระนารายณ์
ครั้งหนึ่งสมเด้จพระนารายณ์มีพระประสงค์ไปเสด็จประพาสไปนมัสการพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก โดยทางชลมารค จางวางกรมช้าง(พระยาทองคำ)และภริยาซึ่งครรภ์แก่ ได้อยู่ในขบวนข้าราชบริพารตามเสด็จสมเด็จพระนารายณ์ กระบวนเสด็จพระราชดำเนินถึงตำบลหนึ่งเขตเมืองโอฆะบุรี(ตำบลโพธิ์ประทับช้างเมืองพิจิตร
)ภริยาจางวางกรมช้างเกิดเจ็บครรภ์คลอดบนหลังช้างในขบวนเสด็จใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่
ต้นมะเดื่อใหญ่อยู่ใกล้กันได้บุตรชาย
และได้นำรกไปฝังไว้ระหว่างต้นโพธิ์กับต้นมะเดื่อพระนารายณ์พระราชทานชื่อให้ว่า “เดื่อ” เสร็จแล้วกระบวนเสด็จพระราช
ดำเนินทางต่อไปจนถึงเมืองพิษณุโลก
ต่อมาเมื่อวางวางกรมช้างบิดาเลื่อนขั้นขึ้นเป็นสมุหกลาโหมนายเดื่อบุตรชายเป็นหลวงสรศักดิ์
และบิดาได้ทำการปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเพทราชาได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้
หลวงสรศักดิ์ผู้บุตรเป็นพระอุปราช พ.ศ.๒๒๔๒
พระอุปราชสรศักดิ์จึงดำหริปรับปรุงณ.ที่เป็นที่เกิดนั้นให้เจริญขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์
โดยจัดสร้างวัดบริเวณต้นโพธิ์ที่ท่านเกิดประทานชื่อว่าวัดโพธิ์ประทับช้าง เมื่อพระราชบิดาสวรรคตพระองค์จึงขึ้นเสวยราชย์ต่อจากพระราชบิดาอยู่ในพระราชสมบัติ
เป็นเวลา ๕ ปี พ.ศ. ๒๒๔๖ – ๒๒๕๑
พระชนมายุจนถึงสวรรคต ๔๗ พรรษา (ก่อนเสียกรุง ๔๙
ปี )
พระมหากษัตริย์องค์ที่๓๐ของอาณาจักรศรีอโยธยา
องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระภูมินทรมหาราชาพระสรรเพชญ์
หรือ พระเจ้าท้ายสระ(เจ้าฟ้าเพชร)เป็นพระราชโอรส องค์โต ของพระเจ้าเสือ
ขึ้นครองราชย์ใน ปี พ.ศ. ๒๒๕๑ – ๒๒๗๕
เป็นเวลา๒๔ ปี มีเหตุการณ์สำคัญประการหนึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลของพระองค์พ.ศ.๒๒๗๑
ที่เมืองป่าโมกเกิดน้ำเหนือบ่าแรงในแม่น้ำเจ้าพระยา
กัดเซาะตลิ่งด้านหน้า วัดตลาด เมืองป่าโมก ใกล้ ถึงองค์พระนอนจึงต้องมีการย้ายพระพุทธไสยาสน์เก่าแก่ยาว
๔ เส้น ๔ วา ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ต้นกรุง โดยพระองค์ร่วมกับพระอนุชาคือเจ้าฟ้าพร มีพระราชสงครามเป็นนายกองควมคุมไพร่พล
ทำการเคลื่อนย้ายองค์พระนอนขยับออกห่างจากฝั่งน้ำและบูรณะให้งดงามดังเดิม
ไพร่ฟ้าที่มาร่วมงานบุญนั้นประจักษ์ถึงความรักกันสามัคคีกันทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข แต่ความไม่ลงตัวในหมู่พระญาติราชวงศ์ ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่เมื่อพระเจ้าเสือราชบิดาครองราชย์ได้เพียง
๕ ปีเสด็จสวรรคตลง ภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดาเจ้าฟ้าเพชรก็ขึ้นครองราชย์ โดยมีเจ้าฟ้าพร พระอนุชา
เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์และพระอนุชาเติบโตภายใต้เศวตฉัตรบ้านเมืองสงบเรียบร้อยต่อเนื่องมาจนขึ้นครองราชย์และแต่งตั้งพระอนุชาเป็นวังหน้าอำนาจในราชอาณาจักรลงตัวมายาวนาน
๒๔ ปี และเมื่อพระเจ้าท้ายสระประชวรหนัก กลับมีเหตุให้ถึงคราวล่มสลาย
เค้าลางการชิงอำนาจจึงเริ่มปรากฏเมื่อพระเจ้าท้ายสระ โปรดเกล้าให้แก่เจ้าฟ้าอภัย
พระราชโอรส เป็นองค์รัชทายาท ซึ่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล(เจ้าฟ้าพร)พระอนุชาไม่เต็มพระทัย
เพราะปรารถนา จะให้ทรงมอบราชสมบัติแก่เจ้าฟ้านเรนทร (กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์) ซึ่งในขณะนั้นผนวชอยู่ แต่พระเจ้าท้ายสระมิทรงยินยอมตามกรมพระราชวังบวร
เหตุการณ์นี้ชวนให้คิดได้ว่าแท้จริงแล้ว กรมพระราชวังบวรคิดจะ ขึ้นครองราชย์เองเนื่องจากเจ้าฟ้าพรเติบโตมาคู่กับเจ้าฟ้าเพชรพระเชษฐาธิราชที่ได้ราชสมบัติจากพระราชบิดาตัวของเจ้าฟ้าพรได้เป็นอุปราชมีสิทธิที่จะครองราชย์เป็นองค์ต่อมา
แต่เมื่อพระเชษฐามีโอรสย่อมต้องการให้ราชสมบัติตกอยู่กับโอรส
แต่เมื่อพระเจ้าท้ายสระประชวรหนักรู้สึกพระองค์จะไม่หายเป็นปกติได้จำเป็นต้องตั้งรัชทายาทและไม่ต้องการแตกหักกับพระอนุชาเพราะจะนำภัยมาสู่พระโอรสจึงตัดสินพระทัย
ยกราชสมบัติแก่ เจ้าฟ้านเรนทร พระโอรสพระองค์ใหญ่ตามคำของอนุชาราชวงศ์เจ้านายทั้งปวงเห็นชอบตามนั้น
แต่ตัว เจ้าฟ้านเรทรในเพศบรรพชิตไม่เห็นชอบด้วย ไม่ยอมลาสิกขา
เพราะเกรงภัยจากพระอุปราชซึ่งเจ้าฟ้านเรนทรทราบประสงค์ของพระเจ้าอาว่าคิดอย่างไร
ไม่เห็นทางอื่นพระเจ้าท้ายสระ จึงได้ยกราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระโอรสองค์รอง
ไม่กี่เพลาจากนั้นพระเจ้าท้ายสระก็สววรคต
แล้วเหตุการณ์ที่เจ้าฟ้านเรนทรคิดก็เป็นจริง
หลังสวรรคตเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิง ขุนนางฝ่ายวังหลวงที่เกรงจะสูญเสียอำนาจให้วังหน้าจึงได้จัดเตรียมกองทัพตั้งค่ายไว้
หน้าวังหลวงเพื่อเตรียมที่จะรบกับกรมพระราชวังบวรฯ(เจ้าฟ้าพร)โดยมีเจ้าฟ้าอภัย เจ้าฟ้าปรเมศร์ เป็นหัวหน้าคณะชิงอำนาจ เหตุการณ์ในครั้งนี้อยู่ในสายตาของวังหน้าสิ้น
สร้างความไม่พอใจให้กับกรมพระราชวังบวรฯเป็นอย่างมากเนื่องจากพระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศกรมพระราชวังบวร
มีสิทธิที่จะขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อพระเชษฐาอย่างถูกต้อง
ระหว่างนั้นทั้งสองฝ่ายจึงตระเตรียมเคลื่อนพลเข้า สู้รบกันขึ้น ฝ่ายวังหลวงมีพระธนบุรีเป็นนายกองเป็นผู้มีความสามารถนำกองบุกมายังวังหน้า
ฝ่ายวังหน้านำกองทหารออกมาหน้าวังเกิดต่อสู้กัน
นายกองวังหน้าเสียทีถ่อยร่นเข้าภายในวังทัพวังหลวงจึงล้อมวังหน้าตั้งกองท้าทายอยู่หน้าวัง
ทัพวังหน้าของกรมพระราชวังบวรฯ ระส่ำระสายอย่างหนัก ขณะนั้นขุนชำนาญชาญณรงค์ทหารคนสนิทของกรมพระราชวังบวร
แจ้งให้เสด็จลี้ภัยไปคอยทีดูสถานะการณ์ที่วัดขุนอินทร์เมืองอ่างทอง
ส่วนทางวังหน้านี้ขุนชำนาญจะอาสาเข้าสู้รบกับพระธนบุรีแม่ทัพผู้เก่งกาจของฝ่ายวังหลวงเองและหากตนเองพ่ายแพ้
ถึงตอนนั้นกรมพระราชวังบวรคงเดินทางไปซ่อนตัวที่เมืองอ่างทองคงปลอดภัยและค่อยคิดการณ์กลับมาชิงอำนาจคืนในภายหลัง กรมพระราชวังบวรจึงเสด็จลงเรือหลบออกจากวังหน้าไป
แล้วขุนชำนาญคนสนิทวังหน้าจึงถือดาบสองมือขึ้นม้านำทหารเปิดประตูวังหน้าออกมา
บุกเข้ารบกับพระธนบุรีที่ตั้งกองทหารเผชิญหน้าอยู่ พระธนบุรีก็หาเกรงกลัวไม่
จึงชักม้ามารบกับขุนชำนาญฯ
รุกรบต่อตีกันเป็นสามารถท้ายที่สุดขุนชำนาญฯใช้ดาบสองมือฟันพระธนบุรีตายบน หลังม้า
ฝ่ายทหารฝ่ายวังหน้าได้ใจจึงโห่ร้องต่อตีทัพวังหลวงที่กำลังเสียขวัญแตกพ่าย
ไปจนทุกทิศทางฝ่ายวังหน้าได้ยึดกุมอำนาจทางทหารไว้ได้ขุนชำนาญจึงได้นำทหารบุกวังหลวงเข้ากุมตัวเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์ มาจำไว้ที่วังหน้า
เหตุการณ์สงบลง จึงแจ้งข่าวให้ กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าพร
เสด็จกลับมาจากเมืองอ่างทอง สั่งนำตัวเจ้าฟ้าทั้งสององค์ไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา
ขณะนั้นเหลือเวลาอีก ๓๕ ปีจะเสียกรุงศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่
๓๑ของอาณาจักรศรีอโยธยา องค์ที่ ๔ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง หลังจากสำเร็จโทษเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์แล้ว กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าพรได้สถาปนา
ขึ้นครองราชย์ ณ
พระที่นั่งวิมานรัตยาในพระราชวังบวรสถานฝ่ายหน้านั้นสืบต่อไป(ทรงประทับที่วังหน้าตลอดรัชกาล)เป็น
สมเด็จพระภูมินทรมหาราชาบรมราชาธิราช (พระเจ้าบรมโกษ ) พ.ศ.๒๒๗๕ –๒๓๐๑ ครองราชย์ รวม๒๖
ปี
และทรงพระกรุณาโปรดให้ขุนชำนาญชาญณรงค์เป็นเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ว่าที่โกษาธิบดี หลวงจ่าแสนยากรเป็นเจ้าพระยาอภัยมนตรี ว่าที่จักรี(สมุหนายก)พระยาราชภักดีผู้ว่าที่ สมุหนายกเดิมนั้นเป็นว่าที่
สมุหกลาโหมแล้วโปรดเกล้าให้พระพันวัสสาใหญ่(สนมใหญ่)เป็นกรมหลวงอภัยนุชิต
ให้พระพันวัสสาน้อย(สนมรอง)เป็นกรมหลวงพิพิธมนตรี ส่วนเจ้าฟ้านเรนทรพระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระที่มิยอมลาสิกขามาเป็นกษัตริย์
ดำรงเพศบรรพชิตตลอดมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงสถาปนาให้ทรงกรมที่ กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์(เจ้าพระฯ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น