ตอนที่ ๑๕ ศึกสายเลือด
กรมหลวงอภัยนุชิต
และกรมหลวงพิพิธมนตรี
พระพันวัสสาทั้งสองพระองค์นี้เป็นพี่น้องกันคือเป็นบุตรีของเจ้าพระยาบำเรอภูธรในรัชสมัยพระ
เพทราชา มีพระมารดาเป็นเชื้อตระกูลพราหมณ์ชาวเมืองเพชรบุรี(บ้านทมอปรือ)โดยพระพันวัสสาใหญ่
ทรงมีพระโอรสธิดา ๗พระองค์ คือ เจ้าฟ้าบรม เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าฟ้าธรรม
ธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง กรมขุนเสนาพิทักษ์) เจ้าฟ้าธิดา เจ้าฟ้ารัศมี เจ้าฟ้าสุริยวงศ์ เจ้าฟ้าสุริยาและ เจ้าฟ้าอินทสุดาวดี
ส่วนพระพันวัสสาน้อย มีพระโอรส ธิดา ๘พระองค์เป็นพระราชโอรส ๒พระองค์คือ เจ้าฟ้าประภาวดี
เจ้าฟ้าประชาวดี เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าเอกทัศน์ เจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากษัตรี เจ้าฟ้ากุสุมาวดี และ เจ้าฟ้าดอกเดื่อ และนอกจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศยังมีพระราชโอรสที่เกิดแต่พระสนมอื่นอีกหลายพระองค์ที่สำคัญคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ(พระองค์เจ้าแขกราชโอรสพระเจ้าบรมโกศกับพระสนมชาวลังกา) กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี โดยกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี จับกลุ่มรวมตัวกันเหนียวแน่น จนเรียกกันว่า เจ้าสามกรม เจ้าพระ(กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์)นั้นทรงสนิทกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรพระโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเกิดความระแวงเรื่องราชสมบัติจึงวางแผนลอบทำร้ายเจ้าพระเพราะเกรงว่าพระราชบิดาจะมอบราชสมบัติคืนให้เจ้าพระทั้งที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่มีสิทธิโดยชอบธรรมในราชสมบัติ.ในปีพ.ศ.๒๒๗๘ขณะพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองราชย์ได้ ๓ ปี โปรดให้พวกช่างก่อสร้างช่างฝีมือทำการปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทซึ่งเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม ในปีนั้นก็ทรงพระประชวรหนัก เจ้าพระซึ่งทรงผนวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดเกาะ ก็เสด็จเข้ามาจำพรรษา ณ วัดโคกแสงภายในพระนครเพื่อเข้าไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอันทรง
ส่วนพระพันวัสสาน้อย มีพระโอรส ธิดา ๘พระองค์เป็นพระราชโอรส ๒พระองค์คือ เจ้าฟ้าประภาวดี
เจ้าฟ้าประชาวดี เจ้าฟ้าพินทวดี เจ้าฟ้าเอกทัศน์ เจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากษัตรี เจ้าฟ้ากุสุมาวดี และ เจ้าฟ้าดอกเดื่อ และนอกจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศยังมีพระราชโอรสที่เกิดแต่พระสนมอื่นอีกหลายพระองค์ที่สำคัญคือ กรมหมื่นเทพพิพิธ(พระองค์เจ้าแขกราชโอรสพระเจ้าบรมโกศกับพระสนมชาวลังกา) กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี โดยกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี จับกลุ่มรวมตัวกันเหนียวแน่น จนเรียกกันว่า เจ้าสามกรม เจ้าพระ(กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์)นั้นทรงสนิทกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรพระโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเกิดความระแวงเรื่องราชสมบัติจึงวางแผนลอบทำร้ายเจ้าพระเพราะเกรงว่าพระราชบิดาจะมอบราชสมบัติคืนให้เจ้าพระทั้งที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่มีสิทธิโดยชอบธรรมในราชสมบัติ.ในปีพ.ศ.๒๒๗๘ขณะพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครองราชย์ได้ ๓ ปี โปรดให้พวกช่างก่อสร้างช่างฝีมือทำการปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาทซึ่งเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรม ในปีนั้นก็ทรงพระประชวรหนัก เจ้าพระซึ่งทรงผนวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดเกาะ ก็เสด็จเข้ามาจำพรรษา ณ วัดโคกแสงภายในพระนครเพื่อเข้าไปเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอันทรง
พระประชวรอยู่
ณ พระราชวังหน้านั้นเนืองๆ
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศร(สมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมขุน
๑๔๘
เสนาพิทักษ์)ตรัส
ใช้ให้พระองค์เจ้าชื่นและ พระองค์เจ้าเกิด ออกไปทูลลวงเจ้าพระว่า
มีพระราชโองการให้นิมนต์เข้าไปในพระราชวังหน้าในเวลาค่ำ
เจ้าพระก็เสด็จเข้าไปในพระราชวังในเวลามืดค่ำนั้น พระชัยเจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศรแอบพระทวารคอยท่าอยู่
พอเจ้าพระผ่านเข้าทวารจึงเอาพระแสงดาบฟันเอาเจ้าพระถูกองค์แต่หาเข้าไม่แต่ผ้าจีวรขาด
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเห็นเช่นนั้นจึงผละวิ่งเข้าไปข้างในตำหนักพระราชมารดา
เพราะกลัวพระราชอาญา ฝ่ายเจ้าพระก็เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระองค์แปลกพระทัยนักที่เจ้าพระเข้าเฝ้ายามค่ำคืน
และได้ทอดพระเนตรเห็นจีวรขาดจึงตรัสถามว่าเหตุไฉนผ้าจีวรจึงขาด
เจ้าพระถวายพระพรว่าเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรหยอกเล่น ครั้นเจ้าพระถวายพระพรลาออกมาแล้ว
พระพันวัสสาใหญ่กรมหลวงอภัยนุชิต(พระราชมารดา
ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร)จึงเสด็จมา
อ้อนวอนว่า ถ้าพ่อมิช่วยก็เห็นจะตาย เจ้าพระ
จึงตรัสว่าจะช่วยได้ก็แต่กาสาวพรรสอันเป็นธงชัยพระอรหันต์ (คือต้องบวช) กรมหลวงอภัยนุชิตได้พระสติจึงเสด็จกลับเข้าที่ในไป
พาเจ้าฟ้าธรรมธิเบศราชโอรสขึ้นซ่อนในพระวอเดียวกันกับเจ้าพระ
ออกจากทางประตูฉนวนวัดโคกแสง ให้ไปบวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัดโคกแสงนั้น
ข้างพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษรับสั่งให้สอบสวนเรื่องราว
ทรงพระพิโรธเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเป็น อันมากให้ค้นหาตัวในพระราชวังหาพบไม่ ได้แต่พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าชื่นพระองค์เจ้าเกิด ซึ่งร่วมคิดกันนั้น
ดำรัสสั่งให้เอาไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ เสียทั้งสองพระองค์
การบวชเจ้าฟ้าธรรมธิเบศครั้งนี้
เจ้าพระฯก็ทรงช่วยอนุเคราะห์อย่างสุดกำลังโดยเป็นพระอุปัชฌาย์ถวายการทรงผนวชให้ด้วย
จึงทำให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมีพระชนม์ชีพอยู่รอดปลอดภัยมาได้
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงใช้เวลาในระหว่างบวชเรียนอยู่กับเจ้าพระ ทำการศึกษาเล่าเรียนจนทรงแตกฉานวิชาการประพันธ์
ดังปรากฏอยู่ในผลงาน กาพย์แห่เรือ กาพห์ห่อโคลง
ทำนองนิราศประพาสธารทองแดงและธารอโศกที่พระพุทธบาทสระบุรีเป็นต้น เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรต้องบวชอยู่ ๕-๖พรรษา จนถึง พ.ศ.
๒๒๘๔ พระราชโกษา ได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขอให้แต่งตั้งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
เมื่อปรึกษาบรรดาเสนาบดีแล้วไม่มีใครคัดค้านพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงอภัยโทษเก่าให้และโปรดให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร(กรมขุนเสนาพิทักษ์)เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช
แต่เรื่องราวร้ายๆยังดำเนินต่อไป เมื่อถึงเดือน ๖ ปีกุน พ.ศ. ๒๒๙๘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีพระบันทูรย์ให้มาเอาตัวเจ้ากรม
ปลัดกรม นายเวรปลัดเวร ข้าราชบริพารในกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ
กรมหมื่นเสพภักดีมาถามว่า เจ้ากรมมีศักดิ์แค่หมื่น แต่จัดกันเองในกรม
ตั้งขึ้นเป็นขุน สูงกว่าศักดิ์ได้อย่างไร จึงให้ลงอาชญาโบยหลังคนละ ๑๕ ทีแล้วให้กลับไป
เจ้าสามกรมทราบความเรื่องนี้จึงโกรธเคือง กรมพระราชวังบวรยิ่งนัก เจ้าสามกรมทราบความบางเรื่องถึงความประพฤติของกรมพระราชวังบวร
จึงร่วมกับกรมหมื่นสุนทรเทพ ทำฎีการ้องเรียนกรมพระราชวังบวรเรื่องกระทำชู้กันข้างในพระนครหลายครั้งหลายหน
กับเจ้าฟ้านิ่มพระสนมและ เจ้าฟ้าสังวาลพระมเหสีฝ่ายซ้ายในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ
จึงมีรับสั่งให้ผู้ร้องฎีกาคนถูกกล่าวหาเข้าเฝ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
จึงเสด็จลง
๑๔๙
เรือจากวังหน้าเพื่อเข้าเฝ้าที่วังหลวง
มาถึงประตูน้ำเสาธงชัยเห็นประตูปิดเวรยามประจำไม่ลงมาเปิดให้อ้างไม่มีรับสั่งจากพระเจ้าอยู่หัว
จึงล่องเรือไปเข้าประตูท่าฉนวนก็ปิดเช่นเดียวกัน จึงล่องเรือมาเข้าคลองท่อเพื่อเข้าทางสระแก้วเทียบท่าแล้วประทับเสลี่ยง
แต่คงคิดฉงนว่าอาจเกิดเหตุผิดปกติจึงสั่งกลับเสลี่ยงมาท่าน้ำเพื่อประทับเรือออกนอกวังองค์รักษ์ไม่ยินยอมทูลว่าเมื่อมาถึงเขตพระราชฐานนั้นแล้วต้องเข้าเฝ้า
มิบังควรขัดกฏมนเฑียรบาล เจ้าฟ้ากุ้งจึงต้องเข้าเฝ้าโดยดี ในท้องพระโรงนั้น
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษจึงทรงสอบสวนเหตุที่มีฏีการ้องเรียนได้ความจริง
แล้วให้ลงโทษนาบพระบาทกรมพระราชวังบวร และทรงด่าว่า กระทำผิดศีลธรรมร้ายแรงนัก
คบหากับเมียเจ้าทั้งสององค์ จนเกิดพระราชบุตรด้วย ๓ องค์ ๔ องค์ ต้องรับโทษ เฆี่ยน
๗๐๐ครั้ง แต่จะแบ่งโทษเป็น
๓
ส่วน ยกเสีย ๒ ส่วน จะให้เฆี่ยน ๒๓๐ที จะว่าประการใด กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ตรัสขอรับพระราชอาชญาตามแต่พระราชบิดาจะทรงพระกรุณาโปรด แต่กรมหมื่นเทพพิพิธ
ซึ่งอยู่ในที่สอบสวนนั้นด้วยเห็นว่าโทษนั้นหนักนัก จึงทูลขอต่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษว่า
ขอให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนเพียง ๖๐ ที แต่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษไม่ยินดีตรัสสั่งว่า
ให้เฆี่ยนยกละ ๓๐ที ไปจนกว่าจะครบ ๒๓๐ที เมื่อเจ้าพนักงานลงมือเฆี่ยนได้ ๖
ยกรวมเป็น๑๘๐ที กรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็สิ้นพระชนม์
จึงสิ้นราชโอรสในพระพันวัสสาใหญ่(สนมใหญ่)กรมหลวงอภัยนุชิต ช่วงเวลาผ่านมาสองปีบรรดาขุนนางผู้ใหญ่พากันปรึกษาหารือต่อกันถึงการตั้งองค์รัชทายาท
ซึ่งเมื่อเจ้าฟ้ากุ้งถึงแก่พิราลัยแล้วผู้ที่สมควรได้รับโปรดเกล้ามีหลายองค์แต่โดยกฏมนเทียรบาลต้องไล่เรียงลำดับตามสายพระโลหิตคือ
กรมขุนอนุรักษ์มนตรี และ กรมขุนพรพินิต โดยกรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นเป็นผู้เข้มงวด
มุทะลุไม่เกรงใจผู้ใด บรรดาขุนนางล้วนเข้าหน้าไม่ติดหากทำราชการย่อหย่อนไป
เกรงต้องมีโทษทัณฑ์ ส่วนกรมขุนพรพินิตคล้ายเจ้าฟ้ากุ้ง
เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนยิ้มแย้มตรัสกับขุนนางแบบไม่ถือพระองค์จึงทำให้บรรดาขุนนางรักใคร่หากวันข้างหน้าได้ครองราชสมบัติ
จะเป็นที่สมใจของบรรดาขุนนาง ถึงเดือน ๕
ปีฉลูพ.ศ.๒๓๐๐ ในที่ประชุมว่าราชการ บรรดาเจ้าฟ้าและเหล่าขุนนางเข้าเฝ้า กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าพระยาอภัยราชา
พระยากลาโหม พระยาพระคลัง จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะให้พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งอุปราชจึงร่วมกันกราบทูลต่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษว่า
บ้านเมืองขาดกรมพระราชวังบวรสถานมงคลขอพระองค์ทรงโปรดตั้งกรมพระราชวังบวรองค์ใหม่ให้ช่วยงานราชการโดยขอพระราชทานโปรดเกล้าตั้งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมขุนพรพินิต(พระเจ้าอุทุมพร) เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่กรมขุนพรพินิต กราบบังคมทูลว่า
กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(พระเจ้าเอกทัศน์)พระเชษฐา
นั้นเหมาะสมที่จะเป็นกรมพระราชวังฯมากกว่า
พระองค์จึงตรัสว่าการแต่งตั้งกรมพระราชวังบวรนั้นสำคัญมากเพราะจะเป็นผู้สืบสันติวงศ์ในภายหน้า
ทั้งต้องช่วยราชกิจทั้งปวงให้ไพร่ฟ้าอยู่ร่มเย็น จึงจะรับฎีกาไว้เมื่อข้าตัดสินสิ่งใดจะมีราชโองการในภายหลัง
หลังจากการประชุมวันนั้นบรรดา
ขุนนางใหญ่น้อยแตกกันเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มที่สนับสนุนกรมขุนพรพินิต กลุ่มที่สนับสนุนกรมขุนอนุรักษ์มนตรี และกลุ่มพระราชโอรสจากพระสนมได้แก่
กรมหมื่นจิตรสุนทร
๑๕๐
กรมหมื่นสุนทรเทพ
กรมหมื่นเสพภักดี ด้วยกรมขุนพรพินิตทราบเรื่องราวความแตกแยกนี้จึงเข้าเฝ้าพระเชษฐาปรึกษาความ
และตรัสถึงความประสงค์ที่ต้องการให้พระเชษฐาครองราชย์ในภายหน้า
แต่ขณะนี้เกิดความบาดหมางกันในกลุ่มขุนนางและราชวงศ์ขอพระเชษฐาช่วยชี้ทางด้วยเถิด
กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจึงตรัสให้ช่วยกันระวังกลุ่มเจ้าสามกรมที่ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับไม่ว่าพระองค์หรือกรมขุนพรพินิต
ส่วนตัวพระองค์คงแล้วแต่พระราชบิดาจะโปรดหรือไม่ขอให้อนุชาอย่ากังวลพระทัย
แล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานฐานาศักดิ์กรมขุนพรพินิต
เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลดำรงฐานะเป็นพระมหาอุปราช
ส่วนกรมขุนอนุรักษ์มนตรีมิให้ดำรงตำแหน่งราชการใด เป็นที่สมใจของเหล่า
ขุนนาง
พระองค์ไม่ฟังคำทัดทานจากกรมขุนพรพินิต ประการนี้เข้าใจได้ว่าพระเจ้าบรมโกษทรงรักกรมพระราชวังบวรกรมขุนเสนาพิทักษ์มากที่ปราศเปรื่องเรื่องหนังสือ
ซึ่งกรมขุนพรพินิตมีส่วนคล้ายกรมขุนเสนาพิทักษ์มาก ตรัสสิ่งใดน่าฟังไม่ดุดันเหมือนพระเชษฐา
ทั้งชอบเรื่องการศาสนา และการเรียนเขียนอ่านก็หลักแหลม ที่สำคัญเข้ากันดีกับเหล่าขุนนางและราชวงศ์
ส่วนกรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นเป็นคนมุทะลุดุดันมั่นใจในตนสูงมิใคร่ฟังผู้อื่นไม่สนใจเรื่องหนังสือเรื่องศาสนาให้พระเจ้าบรมโกศพึงพอใจ
และขุนนางส่วนใหญ่เกรงกลัวต่อกรมขุนอนุรักษ์มนตรีจึงรวมกันสนับสนุนกรมขุนพรพินิตซึ่งหากขึ้นครองราชย์พวกขุนนางจะยอมรับมากกว่า
การขัดพระบรมราชโองการเป็นการกบฏดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามโดยทุกฝ่าย
กรมขุนพรพินิตนั้นลำบากพระทัยนักด้วยเป็นอนุชาอ่อนอาวุโสหากภายหน้าขึ้นครองราชย์จะแต่งตั้งพระเชษฐาเป็นกรมพระราชวังบวร
เพื่อช่วยราชการ นั้นหามีประเพณีกระทำไม่ เมื่อปรับความเข้าใจกันดีแล้วระหว่างพระองค์และพระเชษฐาจึงไม่มีเหตุการณ์แย่งชิงระหว่างพี่น้องร่วมอุทร
ส่วนพี่น้องต่างมารดานั้นข่าวว่าเตรียมผู้คนไม่ประสงค์ดีต่อทั้งพระองค์และพระเชษฐา
หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาอ่อนแอจนต้องเสียกรุงในที่สุดเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศใกล้สวรรคต
(พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตในเดือน๖ แรม๕ ค่ำ ปีขาล พ.ศ. ๒๓๐๑เวลา๕โมงเย็น) เมื่อเชื้อสายของพระองค์
แบ่งแยกเป็นก๊กใหญ่ๆสองก๊ก ต่างฝ่ายต่างส้องสุมกำลังไว้เป็นจำนวนมาก
ขุนนางเองก็แบ่งแยกเป็นสองฝ่ายตามแต่จะสังกัดเจ้าทรงกรมใด
ก๊กแรกเป็นก๊กของกรมพระราชวังบวรขุนพรพินิจ ประกอบด้วยกรมขุนอนุรักษ์มนตรี
กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าพระยาอภัยราชา พระยากลาโหม
พระยาพระคลังและขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากเพราะเป็นฝ่ายที่เตรียมขึ้นครองราชย์โดยถูกต้องมีกองบัญชาการเตรียมกำลังอยู่ที่ตำหนักสวนกระต่ายของกรมพระราชวังบวรกรมขุนพรพินิจก๊กที่สองเป็นก๊กเจ้าสามกรมประกอบด้วยกรมหมื่นจิตรสุนทร
กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี ตั้งกองบัญชาการเตรียมกำลังเอาไว้ที่ตำหนักศาลาลวด
ซึ่งได้ส้องสุมผู้คนไว้เงียบๆอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตลง
ต่างฝ่ายต่างเริ่มเข้าช่วงชิงเครื่องราชกุฎภัณฑ์นตลอดจนพระแสงปืนพระแสงดาบมาถือครองไว้ในฝ่ายตน
โดยกรมหมื่น
๑๕๑
เทพพิพิธไปเชิญพระแสงดาบ
พระแสงกระบี่ พระแสงง้าวข้างที่เพื่อเอาไปถวายกรมพระราชวังบวร ณ
พระตำหนักสวนกระต่าย
ขณะเดียวกันข้างฝ่ายเจ้าสามกรม กรมหมื่นสุนทรเทพ และ
กรมหมื่นเสพภักดี ทั้งสององค์เสด็จไปข้างใน
เชิญเอาพระแสงบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ไปไว้ยังตำหนักศาลาลวด ส่วนกรมหมื่นจิตรสุนทร
เสด็จเข้าวังหลวงพบกับกรมหมื่นเทพพิพิธยังไม่รู้ความ สั่งให้พระยาอภัยราชา
และพระยาคลังคุมทหารปิดประตูวัง จนเมื่อเห็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จเข้ามา
ตรัสเรียกให้กรมหมื่นเทพพิพิธไปอัญเชิญหีบพระแสง ณ โรงแสงไปไว้ตำหนักสวนกระต่าย
กรมหมื่นจิตรสุนทรก็ตกพระทัยและเข้าใจในเหตุการณ์ต่างๆว่าตนอยู่
ท่ามกลางศัตรูทางการเมืองเสียแล้วจึงรีบเสด็จกลับไปตำหนักศาลาลวดโดยพลันครั้นใกล้พลบค่ำกรมพระราชวังบวรฯมีบัณฑูลให้
ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาเข้าเฝ้า ณ ศาลาลูกขุนตำหนักสวนกระต่าย
ข้างฝ่ายเจ้าสามกรมนอกจากไม่ยอมมาเข้าเฝ้าตามพระบัญชาแล้วยังให้ทหารของขุนพิพิธภักดีจางวางในกรมหมื่นจิตรสุนทร
พาคนไปกระทุ้งบานประตูโรงแสงเข้าไปเอาพระแสงมายึดถือไว้เป็นอันมาก
เพื่อเตรียมพร้อมอีกต่างหากกับให้ทหารข้ามกำแพงวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์และกำแพงโรงราชรถ
เข้ามารวมพล ณ ตำหนักศาลาลวด ต่างฝ่ายต่างเตรียมรบกันถึงขั้นแตกหัก
ครั้งนั้นต้องเดือดร้อนพระผู้ใหญ่ในบ้านเมืองด้วยเป็นวันพระแรม ๑๕ ค่ำ พระเทพมุนี
พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ พระเทพกวี
เข้าวังมาเตรียมจะถวายพระธรรมเทศนาราชพิธีพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
กรมพระราชวังบวรฯจึงให้นิมนต์พระผู้ใหญ่เหล่านั้นเข้ามา ณ
ตำหนักสวนกระต่ายแล้วอาราธนาให้ช่วยไปเจรจากับฝ่ายเจ้าสามกรม ให้สมัครสมานกัน
เจรจาตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงยามสามเศษจึงบรรลุข้อตกลงเจ้าสามกรมจึงมาเฝ้าทำสัตย์ถวายทั้งสามองค์
ครั้น เพลาเช้าจึงเสด็จมา ณ พระที่นั่งทรงปืน สรงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัว
แล้วเชิญเข้าพระโกศ(ด้วยพระองค์มีสรีระใหญ่โตโกศบรรจุพระบรมศพจึงมีขนาดใหญ่มากสะดุดตาแก่ผู้คนจนทำให้ในเวลาต่อมากล่าวถึงพระองค์ซึ่งสวรรคตไปแล้วจึงแทนคำเรียกพระนามว่าพระเจ้าบรมโกศ
ประทับไว้ที่พระที่นั่งบรรยงค์รัตนาตามพระราชประเพณี
แต่นั้นมาต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกัน
ต่างไม่เชื่อใจต่อกันต้องช่วงชิงอำนาจให้ได้เบ็ดเสร็จจึงต่างวางแผนการ
ฝ่ายข้างเจ้าสามกรมเตรียมพร้อมกำลังเต็มที่เพื่อเข้ารัฐประหารระหว่างนั้นเอง กรมพระราชวังบวรกรมขุนพรพินิจว่าที่กษัตริย์มีความตั้งใจเดิมตามที่กราบทูลพระราชบิดาว่าต้องการให้พระเชษฐาได้รับตำแหน่งกรมพระราชวังบวรและขึ้นครองราชย์โดยพระองค์จะบวชแต่เมื่อเหตุการณ์ชิงอำนาจกับเจ้าสามกรมเกิดขึ้นยังจัดการสิ่งใดไม่เรียบร้อย
ย่อมเป็นภัยกับทั้งพระองค์ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรว่าที่กษัตริย์ และพระเชษฐา ดังนั้นพระองค์จึงวางแผนกับพระเชษฐากรมขุนอนุรักษ์มนตรีให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ด้วยเป็นเชษฐาองค์โต ฝ่าย กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจะนำกำลังบุกจับกุมตัวพวกเจ้าสามกรมที่วัง
กรมพระราชวังบวรจึงทัดทานพระเชษฐาหากนำกำลังบุกไปคงรบกันใหญ่เพราะฝ่ายเจ้าสามกรมก็เตรียมกำลังเอาไว้มากโขจึงร่วมปรึกษากันโดยใช้แผนการให้พระเชษฐาชักชวนเจ้าสามกรมให้ชิงราชสมบัติ
โดยวังหน้าตระเตรียมทหารฝีมือดีไว้กุมตัวเจ้าสามกรมให้ได้ ดังนั้นกรมขุน
๑๕๒
อนุรักษ์มนตรีจึงเดินแผนทำทีลอบพบกับฝ่ายเจ้าสามกรม
ทำทีไปเกลี้ยกล่อมเจ้าสามกรมให้ช่วยหนุนหลังเพื่อโดดเดี่ยวกรมพระราชวังบวรและพาเจ้าสามกรมมาเฝ้ากรมพระราชวังบวรเพื่อบังคับไม่ให้ขึ้นครองราชย์โดยมีข้อตกลงให้ฝ่ายเจ้าสามกรมรับผิดชอบกรมท่าเรียกเก็บภาษีทั้งมวล
มีการหารือกันหลายครั้งหลายหน ดำเนินการถึง ๒๑ วันจึงสำเร็จ เมื่อฝ่ายเจ้าสามกรมตายใจ กรมขุนอนุรักษ์มนตรีก็นัดแนะให้มาเข้าเฝ้าตามปกติในเวลาว่าราชการกลางวันแบบเปิดเผยเหมือนมาหารือราชกิจธรรมดาๆทั่วไปทั้งสามองค์
จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของ
ทหารฝ่ายเจ้าสามกรม
ส่วนกำลังวังหน้าได้มอบให้กรมหมื่นเทพพิพิธจัดวางคนซุ่มไว้ทุกทางแล้ว
ครั้น
ถึงวันแรม ๑๑ ค่ำเพลาบ่าย กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี
หลงกลเสด็จขึ้นไปเฝ้ากรมพระราชวังบวร ณ พระตำหนักตึก
ขณะนั้นคนที่วางไว้ก็เข้าล้อมจับทหารฝ่ายเจ้าสามกรมจนหมดสิ้นจึงแจ้งความมายังกรมพระราชวังบวร
กรมขุนอนุรักษ์มนตรีทราบสถานการณ์เป็นไปตามแผนการแล้วจึงลุกขึ้นจากที่ประทับชักพระแสงตรงเข้าไปยังกรมหมื่นจิตรสุนทร
กรมหมื่นสุนทรเทพ
กรมหมื่นเสพภักดีท่ามกลางที่ทุกคนตะลึงเจ้าสามกรมเข้าใจในทีว่าเสียทีแก่สองพี่น้องแล้ว
กรมขุนอนุรักษ์มนตรีชี้พระแสงไปที่อนุชาต่างมารดาทั้งสามคนตรัสถามว่าไหนใครคิดแย่งชิงบรรลังค์ของน้องข้าเจ้าคนไหนต้นคิดทั้งสามองค์นิ่งเสียด้วยทราบชะตาตัวเองถึงกาลสิ้นแน่แล้วด้วยเขลากว่า
สององค์พี่น้อง กรมพระราชวังบวรจึงให้ทหารจับกุมเอากรมหมื่นสุนทรเทพไปลงสังขลิก(โซ่ตรวน)
ไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม กุมเอากรมหมื่นเสพภักดีไปพันธนาการไว้ ณ ตึกพระคลัง
ศุภรัตจับเอากรมหมื่นจิตรสุนทรไปจำไว้ ณ พระคลังพิเศษ ครั้นแรม ๑๓ ค่ำเดือน ๖
จึงให้ประหารด้วยท่อนจันทน์ ณ พระคลังพิเศษทั้งสามองค์
รวมทั้งทหารฝ่ายเจ้าสามกรมทั้งหมดก็ถูกประหารไปสิ้น ฝ่ายข้าราชบริพารที่เป็นสตรีหรือเด็กตลอดจนทรัพย์สมบัติทั้งหลายของฝ่ายเจ้าสามกรมก็ถูกริมเสียหมดสิ้น
ศึกสายเลือดครั้งนี้กรุงศรีอยุธยาสูญเสียขุนนางผู้ใหญ่ไปมากมายรวมถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดด้วย
(ขณะนั้นเป็นเวลาก่อนเสียกรุง ๙ ปี)
(ขณะนั้นเป็นเวลาก่อนเสียกรุง ๙ ปี)
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่
๓๒ของกรุงเทพทราวดีศรีอยุธยา พระองค์ที่ ๕ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง เมื่อกำจัดศรัตรูทางการเมืองสิ้นแล้วเพื่อให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระราชบิดาบรมโกษ
กรมพระราชวังบวรฯจึงตั้งการพระราชพิธีอภิเษกขึ้นเสวยราชย์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
เมื่อเดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ ( พ.ศ. ๒๓๐๑)ทรงพระนามพระบรมราชาธิราช หลังจากเสวยราชย์สมบัติได้ไม่กี่เพลา
พระองค์ก็เชิญพระเชษฐาเข้าเฝ้าลำพังเพื่อปรึกษาถึงความประสงค์เดิมที่เคยตรัสกันไว้ด้วยพระองค์ต้องการถวายราชสมบัติให้พระเชษฐา
พระเจ้าอุทุมพรตรัสกับพระเชษฐาใจความว่า เพราะความต้องการของพระราชบิดาทำให้เกิดเหตุที่พระองค์ต้องประหารพี่น้องเจ้าสามกรม
ส่วนพระองค์จะตั้ง พระเชษฐาให้เป็นกรมพระราชวังบวร นั้นหามีประเพณีแต่ก่อนมาไม่
ส่วนเมื่อพระเชษฐาครองราชย์แล้วจะตั้งตัวข้าพเจ้าเป็นกรมพระราชวังบวรนั้นจะเป็นที่ขบขันที่พระมหากษัตริย์สละราชสมบัติมาเป็นอุปราช
คงต้องหากลอุบาย ส่วนเรื่องขุนนางที่แบ่งเป็นก๊กเหล่า นั้นพระองค์ทราบดีว่าขุน
๑๕๓
นางมากมายเกรงกลัวและไม่ชอบพระเชษฐาและถือข้างสนับสนุนพระองค์ให้ครองราชย์หากเมื่อพระองค์สละราชสมบัติ
เหล่าขุนนางย่อมไม่ถูกใจรวมตัวกันก่อกบฏหากปราบปรามก็จะเสียผู้คนดังที่เคยเสียจากการประหารขุนนางฝ่ายเจ้าสามกรมครั้งนั้นเสียคนไปมาก
มีหนทางเดียวตามแบบอย่างเจ้าพระ นุ่มนวลที่สุดและพระองค์ยังสามารถเป็นคนกลางประสานระหว่างขุนนางและพระเชษฐาได้
ดังนั้นเมื่อ เสวยราชสมบัติได้๑๐วัน สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจึงทรงเรียกขุนนางทั้งปวงเข้าเฝ้าจึงประกาศให้ทราบว่าด้วยสิ้นพระราชบิดาและได้สำเร็จโทษพี่น้อง
ขุนนางของแผ่นดินไปมากพระองค์จะบรรพชาเป็นราชกุศล
บรรดาขุนนางจึงอนุโมทนาบุญโดยพร้อมกัน
ในระหว่างที่พระองค์บรรพชาโปรดให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีสำเร็จราชการแทนพระองค์
บริหารราชกิจทั้งปวงขุนนางทั้งหลาย อย่าได้กระทำการเป็นที่ขุนข้องขัดเคือง
หลังจากนั้นอีก๑๕วันก็เสด็จออกไปผนวชแล้วเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดประดู่ทรงธรรม
โดยตั้งพระทัยเดิมที่จะสละราชย์จึงไม่ประสงค์ลาสิกขา
แต่การเมืองมันไม่เรียบร้อยเหมือนที่พระองค์คิด
อำนาจไม่ได้อยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เท่านั้นบรรดาเจ้าฟ้า
พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางที่ถือข้างย่อมต้องการได้อำนาจมีอยู่กับตนสามารถใช้อำนาจเหนือขุนนางผู้อื่น
เหนือฝ่ายข้างอื่น
และใช้อำนาจให้ได้มาซึ่งทรัพย์และบริวารดังนั้นหากพระมหากษัตริย์ข้างตนวางลงซึ่งอำนาจ
ขุนนางพวกนี้จึงพลอยหมดอำนาจไปด้วยเมื่อรู้ตัวก็ต้องดิ้นรนอาจกระทำสิ่งไม่พึงประสงค์เพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจคืนกลับมามีคนปล่อยข่าวลือต่างๆนานาให้ขุนนางทั้งส่วนกลางและหัวเมืองเกลียดชังกรมขุนอนุรักษ์มนตรี
เช่นกรมขุนอนุรักษ์มนตรีถือพระแสงไปนั่งบรรลังค์เพราะอยากเป็นพระมหากษัตริย์ความเกลียดชังเกิดขึ้นทั่วพระนครและหัวเมือง
มีขุนนางหลายคนรวมตัวกันก่อกบฏ บ้างก็กินเบี้ยสินบนไม่เกณฑ์ไพร่หลวงเข้ารับราชการ
ในพระนครมีขุนนางที่จงรักษ์ภักดีจากการสนับสนุนของกรมขุนอนักษ์มนตรีไม่มากนัก
นับเป็นสถานการณ์สำคัญที่พระเจ้าเอกทัศน์ต้องเร่งแก้ไขเพราะหากปล่อยเนิ่นนานหากเกิดสงครามบรรดาหัวเมืองที่สิ้นความจงรักภักดีต่อกรุงศรีอโยธยาหันไปภักดีต่ออริราชศรัตรูคงจะรักษากรุงศรีอโยธยาเอาไว้ไม่ได้
พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๓ของอาณาจักรศรีอโยธยา พระองค์ที่ ๖ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง สมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต(กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) ครองราชย์อยู่นาน๙ปี(พ.ศ.๒๓๐๑ – ๒๓๑๐)พระองค์ขึ้นครองราชย์ภายหลังจากพระเจ้าอยู่หัวพระบรมราชาธิราช สมเด็จพระอุทุมพรมหาพรพินิต เสวยราชสมบัติได้๑๐วัน และทรงออกผนวชโดยไม่ยอมลาสิกขา เมื่อแผ่นดินกลับมาอยู่ภายใต้ร่มเศวตฉัตรของพระเจ้าเอกทัศน์พวกขุนนางและเจ้าฟ้าที่ตั้งตนเป็นศรัตรูกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี มาแต่แรกจึงร้อนตัว กรมหมื่นเทพพิพิธนั้นรู้ตัวว่าเมื่อสิ้นพระเจ้าอุทุมพรถึงแม้ช่วยกันวางแผนกำจัดเจ้าสามกรมก็ร้อนตนว่า ตนเองคงไม่รอดเพราะเป็นผู้นำในการถวายคำแนะนำให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษแต่งตั้งพระเจ้าอุทุมพรเป็นกรมพระราชวังบวรฯ เมื่อพระเจ้าอุทุมพรสละราชย์ จึงได้เสด็จหนีไปผนวช ณ.วัดกระโจม การหนีก็เหมือนร้อนตนเรื่องไม่จบลงง่ายๆ ส่วนขุนนางที่ตั้งตนสนับสนุนพระเจ้าอุทุมพรให้ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวร
๑๕๔
เพื่อครองราชย์ในวันข้างหน้าจึงร้อนตัวระส่ำระสายถึงภัยที่กำลังจะมาถึงตัว
มีขุนนางข้างพระเจ้าเอกทัศมากราบทูลว่าเจ้าพระยาอภัยราชา พระยาเพ็ชรบุรี
หมื่นทิพเสนา นายเพ็งจันทร์ คิดกบฎ จะชิง
เอาราชสมบัติถวายกรมหมื่นเทพพิพิธจึงรับสั่งให้ไปกุมตัวขุนนางทั้งหมดมาเฝ้า
ส่วนพระภิกษุกรมหมื่นเทพพิพิธ รู้ตัวก็หนีออกไปจากวัดกระโจม ถูกตามตัวจับได้ ณ
ป่านาเริ่ง(หนองแค สระบุรีในปัจจุบัน) นำตัวเข้าเฝ้า ส่วนเจ้าพระยาอภัยราชา พระยาเพ็ชรบุรี นายจุ้ยนั้น เฆี่ยนแล้วให้ จำไว้
หมื่นทิพเสนา นายเพ็งจันทร์ หนีรอดไปได้
แล้วจึงโปรดให้ถอดยศกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเพียงพระสงฆ์
ธรรมดาเนรเทศไปลังกาซึ่งเป็นเมืองเกิดของมารดากรมหมื่น
บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ที่กระด้างกระเดื่องถูกถอดบรรดาศักดิ์ริบศักดินาหมดสิ้นมานับแต่นั้นไม่เว้นขุนนางชั้นปลายแถวก็ถูกปัญหาการเมืองถูกให้พ้นจากราชการเพราะถือข้างพระเจ้าอุทุมพรไม่ยอมรับพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น