ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ขุนหลวงตาก ตอนที่๒




                                                                        ตอนที่ ๒ อโยธยาสิ้นแล้ว
                        ทัพกรุงศรีอยุธยาป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดความสามารถ อังวะทุ่มเททั้งเจาะทำลายทั้งถมทำนบประชิดแต่อยุธยาก็ยังสามารถ  ป้องกันทัพอังวะเอาไว้ได้ ทั้งทราบความแล้วว่ามีไส้ศึกปะปนอยู่ในพระนคร ยามค่ำคืนคอยออกปล้นชาวเมือง  พระเจ้าเอกทัศออกตรวจตราทัพจึงทราบความอีกว่ามีพระยาหลายคนหนีทัพเล็ดลอดจากพระนครทิ้งไพร่พลให้อยู่ลำพังบ้าง ทิ้งค่ายพาไพร่พลกลับเมืองไปบ้าง  สืบได้ความว่าหนีไปยังพิมาย และพิษณุโลก  ซึ่ง สองเมืองนี้ซ่องสุมผู้คนคอยทีจะปล้นเอาเมือง แต่ยามนี้ขุนนางที่ไม่ชอบพระองค์ต่างกระด้างกระเดื่องหนีทัพโดยที่พระองค์ไม่สามารถลงอาญาได้            ความหวังสุดท้ายที่คอยทัพจากหัวเมืองตะวันออกถึงเกือบ ๓ เดือนคงสิ้นหวังยังไม่มีวี่แววทัพหนุนเดินทางมาถึง   (ขณะนั้นพระยาตากเข้ายึดเมืองระยอง วางแผนปราบปรามและเกณฑ์ไพร่พลจากจันทบูร)    ก่อนขึ้นเดือน ๕ หลายเพลา ทัพอังวะล้อมจนติดกำแพงเมือง อโยธยา  ไม่มีทัพจากในพระนครออกไปโจมตีทัพอังวะอีกแล้วคงมีกองประจำทวารทั้งสิ้นปิดทวารมั่นคง     ฝ่ายใน หลวงเวรสิทธิ์นายเวรรับราชโองการนำ       เครื่องราชกกุธภัณฑ์ แลทรัพย์ในคลังหลวง ๘-๙คลัง  ให้มหาดเล็กคนสนิททั้งหลายและนางในไปเก็บกรุซ่อนของ ที่บ่อน้ำ ทั้งฝังดินที่ กรุ วัดย่านวังหลวง และ  วัดต่างๆอีกมากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศทรงตรัสกับเหล่าราชวงศ์ ฝ่ายใน อำมาตย์ราชครูใกล้ชิดว่า    การสู้รบมาถึงที่สุดแล้วคงรักษาเมืองไว้ไม่ได้ จนพระทัยขุนนางพากันทิ้งทัพหลบหนีก็มาก  หวังพึ่งทัพพระยาตากก็ยังไม่มีมาถึง  กำลัง
เพียงน้อยในพระนครจะยันข้าศึกได้ไปอีกกี่เพลาหากอังวะเข้าเมืองได้คงบุกเข้าพระราชวัง     หากแม้นพระองค์สู้ศึกจนสิ้นหรือถูกอังวะกุมตัวได้ แม้นถึงคราวนั้นให้ทหารมหาดเล็กวางเพลิงเมืองให้หมดสิ้น     อย่าให้อังวะยึดเมืองเอาไปใช้ประโยชน์ได้      หากวันใดอโยธยามีคนดีมีความสามารถคงกอบกู้บ้านเมืองให้กลับคืนได้       ถึงเราไม่ทำลายพระนครเมื่ออังวะเข้ามาได้คงเก็บกวาดทรัพย์สินและเผาทำลายไม่ให้อโยธยาฟื้นคืน ส่วนอารามนั้นอังวะ คงละเว้นเพราะอารามของพระพุทธองค์พระสงฆ์คงไม่ลำบาก   หากใครเกรงกลัวอังวะให้เร่งหนีออกจากเมืองด้านทิศใต้ไปทางน้ำ    แล้วจึงลอบให้เหล่าสนม นางใน ราชโอรส ราชธิดาล่องเรือออกคลองฉะไกร
ยามค่ำคืน  มุ่งไปยังด้านทิศบูรพาให้หลบซ่อนในป่าห่างไกล ส่วนพระองค์และ ทหารรักษาพระองค์ทุกคนต่างไม่คิดหนีแต่อย่างใด  ครั้นถึงวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช  ๒๓๑๐  เวลาประมาณบ่ายสามโมง อังวะจุดไฟสุมรากกำแพงเมืองตรงหัวรอที่ริม ป้อมมหาไชยะ และยิงปืนใหญ่ระดมจากบรรดาค่ายที่รายล้อมทุกค่ายเข้าไปในพระนคร ถูกปราสาทราชวัง วัดวาพังเสียหายมากนัก  พอเพลาพลบค่ำกำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง เวลา ๒ทุ่ม แม่ทัพอังวะยิงปืน เป็นสัญญาณให้ทหารเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้านเข้าตะลุมบอน ด้วยกำลังที่เหนือกว่า อังวะเอาบันไดปีนพาดเข้ามาได้ตรงที่กำแพงทรุดด้านหัวรอนั้นก่อน มีเสียงลือว่าอังวะลอบเข้าเมืองมาปลอมตัวแฝงอยู่ในพระนครทั้งเผาบ้านร้านตลาดครั้งก่อน ด้วยมีขุนนางมอญคอยให้การช่วยเหลือซ่อนเร้น     ยามนี้คนเหล่านั้นก็เข้าเปิดประตูเมืองให้กองหน้าทัพอังวะบุกทะลวงเข้ามาได้โดยทหารอโยธยาที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ อังวะก็สามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทิศทางทหารอโยธยาสู้จนตัวตายเกือบหมดผู้คนที่เหลือถูกกุมตัวเวลานั้นชาววังชาวเมือง อลหม่าน เพลาค่ำนั้นเกิดเพลิงเผาไหม้จากวังหลวงวังหน้าและวังหลังจนทั่ว เมื่อ ทัพหน้าอังวะทะลายกำแพงด้านหัวรอเมืองเข้ามาก็พบกับทะเลเพลิงแดงฉานข้างหน้าคงหยุดอยู่นอกกำแพงพระราชวังหลวงนั่นเอง   ทหารที่รักษากำแพงมีน้อยมากพากันวางอาวุธยอมจำนนบ้างต่อสู้ก็ถูกฆ่าฟันล้มตายศพก่ายกอง   แม้ทัพอังวะบุกเข้าเมืองมาได้ ก็ไม่สามารถใช้สถานที่ใดตั้งทัพและบุกเข้าในพระราชวังได้ท่ามกลางความอลม่าน  เพลานั้นมหาดเล็กคนสทิทก็ลอบพาพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากพระราชตำหนักมุ่งออกมาด้านทิศใต้มีทหารองค์รักษ์ตามเสด็จเพียงไม่กี่คนมหาดเล็กเตรียมเรือชะล่าซุ่มเอาไว้พระองค์ตั้งพระทัยมุ่งหน้าตามทัพพระยาตาก นายกองอังวะที่พังกำแพงเมืองเข้ามากรูมาถึงแนวกำแพงพระราชวังก็กระจายกำลังเที่ยวค้นหาพระเจ้ากรุงศรีวังหลวงบางส่วนถูกเพลิงไหม้ จึงเร่งหาพระเจ้ากรุงศรีอโยธยา มาพบทหารกลุ่มหนึ่ง แท้จริงเป็นกลุ่มมหาดเล็กและทหารองค์รักษ์นำเสด็จจึงเข้าสู้รบกันเป็นสามารถนายกองอังวะยิงปืนเข้าใส่ต้องพระอุระพระเจ้ากรุงศรี และฆ่าฟันทหารกรุงศรีตายทั้งสิ้น จึงทราบว่าเป็นพระเจ้ากรุงศรีอโยธยา  นายกองจึงแจ้งข่าวไปยังแม่ทัพเมเมียวสีหบดี ว่าปลงพระชนม์พระเจ้ากรุงศรีลงได้แล้ว  แม่ทัพเมเมียวสีหบดีจึงสั่งให้นำพระบรมศพพระเจ้ากรุงศรีมายังค่ายโพสามต้นและให้ นายกองอังวะ รวบรวมเชลยพันธนาการแยกขุนนาง  พระวงศานุวงศ์บ่าวไพร่ ราษฎร เจ้านาย ข้าราชการ สังเกตจากการแต่งตัวว่าใครนายใครบ่าวใครไพร่     ไม่มีทางหลบเลี่ยงซ่อนตัวในพระนครได้ทั้งพระภิกษุสามเณรจำนวนมาก พระภิกษุ สามเณร
ถูกจับรวมไปคุมไว้ที่ค่ายโพสามต้น   รวมทั้งจับกุม สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรที่จำพรรษารวมกับเหล่าข้าราชการที่วัดประดู่ทรงธรรมนั้นด้วย     ส่วนราษฎรทั้งหลาย นำไปคุมขังไว้ตามค่ายต่างๆและเร่งตั้งค่ายลงที่เพนียด ที่วัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ เมื่อนำพระบรมศพพระเจ้ากรุงศรีมาถึงค่ายจึงตั้งเอาไว้เช่นสามัญชนกลางค่ายท่ามกลางเหล่าเชลยศึกทั้งราชวงศ์และขุนนางอโยธยาจึงพากันร้องไห้ระงมครานี้อโยธยาสิ้นบุญแล้วจริงๆ เมเมียวประกาศชัยเหนืออโยธยาท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าแม่ทัพนายกองจึงให้ตระเตรียมพัธนาการและปักเสาเพนียด คุมขังบรรดาเชลยเพื่อเตรียมกวาดต้อนกลับอังวะและให้ฝังพระศพเอาไว้ที่กลางค่ายนั้น
บรรดาแม่ทัพนายกองอังวะพากันตระเวนทั่วพระนครและเก็บกวาดทรัพย์สินและค้นจับเชลยศึกเมื่อ ไร้ทรัพย์สินในพระบรมมหาราชวัง แม่ทัพนายกองพม่าทั้งหลายต่างทราบเรื่องคลังทรัพย์สมบัติของเจ้ากรุงอโยธยาที่มีมากนับ๘-๙คลัง ทรัพย์สินเงินทอง เพชร นิลจินดา บรรจุใส่ใหซ้อนกันสูงอีกทั้งเครื่องราชกุธภัณฑ์ของกษัตริย์ พากัน เที่ยวค้นหาไม่พบ ก็ผิดหวัง             พากันโกรธแค้นพระเจ้าอโยธยายิ่งนัก    จึงต่างมุ่งเข้าวัดวาอาราม ค้นหาทรัพย์สินเผาลอกทองพระกันนับ ๑๐กว่าวันเอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มองค์พระพุทธรูปผืนใหญ่ บีบบังคับทั้งราษฎรทั้งพระภิกษุให้บอกแหล่งของทรัพย์ที่ฝังซ่อนไว้ ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชรนั้น ขนเอาเนื้อทองคำไปหมดสิ้น
บ้านช่องขุนนาง บ้านเรือนชาวเมืองทหารอังวะพากันบุกค้นจนหมดสิ้นจับทั้งผู้คนริบทั้งทรัพย์สิน ไว้ได้ทั้งหมดสิ้น ครานี้ขจัดศูนย์กลางการบริหารอาณาจักรให้หมดสิ้นเพื่อไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเร็ววัน  แต่เก่าก่อนมาการโจมตีอาณาจักรเพียงการกำจัดแค่พระมหากษัตริย์แล้วกวาดต้อนนำเชลยกลับไปยังอาณาจักรอังวะ การจะซ้ำรอยครั้งพระมหาธรรมราชาให้พระนเรศวรราชาธิราชกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนได้ อีกประการหนึ่งนั้น มาจากความสามารถของทัพอโยธยาที่ประจักษ์แก่แม่ทัพพม่าว่ามีความแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรอื่นๆที่อังวะเคยโจมตีมา แม้กำลังน้อยกว่าอังวะมากนัก  แต่ยังสามารถต้านทานทัพอังวะได้นานนับปี ถ้าปล่อยเอาไว้         ไม่นานกรุงศรีโยธยาต้องสถาปนาขึ้นใหม่   คิดเช่นนั้นแล้วแม่ทัพจึงสั่งให้ตระเวนเผาบ้านเรือนที่ยังไม่ถูกเพลิงไหม้จนราบ
สิ้นกรุงศรีอยุธยาแล้วครั้งนี้อังวะมิได้แค่ต้องการยึดเมืองได้แล้วปกครองแบบประเทศราชดังเช่นครั้งก่อนหากแต่ต้องการทำลายรากฐานบ้านเมืองประชาชนราชสำนักให้หายไปโดยไม่สามารถฟื้นตัวได้ง่ายๆ อังวะต้องใช้เวลานานถึง ๒ เดือน ในการเที่ยวเก็บทรัพย์สมบัติจำนวนมาก เตรียมเสบียงเลี้ยงคนและเชลย และเตรียมการต้อนเชลยศึกทั้งหมดรวมทั้งสมณะเจ้าอุทุพร และราชวงศ์กรุงศรีทั้งปวง รวมทั้ง  พลเมืองอโยธยานับแสนคนกลับอังวะแล้วเร่งยกทัพกลับ  อาณาจักรอังวะใน วันที่ ๖ มิถุนายนพ.ศ. ๒๓๑๐
ด้วยต้องตระเตรียมระดมพลรับทัพจีน ดังนั้นจึงไม่สามารถทิ้งกองทัพและจัดการปกครองกรุงศรีอยุธยาได้   เนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ได้แต่งตั้งให้ สุกี้นายทัพ คุมพล ๓,๐๐๐ ใช้ค่ายโพสามต้นเป็นที่ตั้ง คอยกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินตามกลับไปภายหลังให้หมดสิ้นทั้งแผ่นดิน 
ขณะที่ราชวงศ์บางพระองค์และขุนนางต่างเห็นกรุงศรีอยุธยาไม่มีโอกาสชนะอังวะได้นั้น เพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดชุมนุมทางการเมืองในระดับต่างๆ ซึ่งเป็น"รัฐบาลธรรมชาติ"ขึ้นมาในท้องถิ่นทันทีบรรดาพระยา เจ้าเมืองขนาดใหญ่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามมากนักเพราะหลบเลี่ยงเกณฑ์พลเข้าทัพรักษาพระนครจึงเหลือไพร่พลมากจึงได้ตั้งตนเป็นใหญ่แยกอาณาจักรตั้งตนเป็นขุนหลวงในเขตอิทธิพลของตน   ซึ่งมีจำนวน ๔-๖ แห่ง หากแต่ไม่มีชุมนุมทางการเมืองใดคิดจะกอบกู้อโยธยา หรือฟื้นฟูให้กลับคืนดังเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น