๒๓
ตอนที่ ๓ ขอม มหาอำนาจในอุษาคเนย์
ขอมเป็นหนึ่งในอาณาจักรโบราณ
โดยมีเมืองบริวารในดินแดนสุวรรณภูมิ อยู่ในอำนาจปกครองอย่างหลวมๆ
โดยเมืองต่างๆก็ยังมีอำนาจปกครองตนเอง ที่ต้องส่งบรรณาการเพื่อแสดงถึงความไม่เป็นปรปักษ์การปกครองดินแดนในอาณาจักรครั้งโบราณเปรียบเทียบกับการเสียเอกราช
การเป็นประเทศราช
และการเป็นเมืองขึ้นหรือเมืองในอาณานิคมกับยุคปัจจุบันไม่ได้เนื่องจากการมีอำนาจเหนือกว่านั้น
เหนือกว่าพระราชาของเมืองนั้นๆ ไม่มีการยึดดินแดน ไม่มีอาณาเขต หลักเขต
พิกัดเขตแดน ด้วยดินแดนเป็นพื้นที่กว้างใหญ่
ขาดแต่พลเมืองซึ่งแต่ละเมืองมีอยู่น้อย
ดังนั้นเมืองที่มีพลเมืองมากย่อมมีความเข้มแข็งกว่าเมืองเล็กๆที่มีพลเมืองน้อยกว่าดังนั้นสงครามจึงเป็นการกวาดต้อนผู้คนจากเมืองอื่นมาเป็นพลเมืองของตนเพื่อใช้แรงงาน ขอม มีความรุ่งเรืองในราวพุทธศษวรรตที่ ๖
โดยเริ่มจากอาณาจักรฟูนันที่อยู่บริเวณที่ราบโตนเลสาบใจกลางกัมพุชประเทศ
อาณาจักรเจนละ และอาณาจักรจามปา ทั้งสามอาณาจักรล้วนมีพื้นฐานพลเมืองเป็นขแมร์
และลาว กินอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ สุวรรณภูมิที่มีชนชาวมอญ – ขแมร์
อยู่ในพื้นที่ บางส่วนของ ลาวที่มีชาวลาว
ชาวลั้ว ชาวลื้อ อาศัยอยู่ และบางส่วนของ นามเวียด(เวียดนาม-ญวน) จนวิวัฒน์เป็นขอมซึ่งขณะนั้นขอมมีแสนยานุภาพทางทหารมากกว่าเมืองน้อยใหญ่ใน
อุษาคเนย์ ศูนย์กลางขอมอยู่บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ บริเวณเมืองพิมาย
ด้วยรับอิทธิพลด้านศาสนาจากชมพูทวีปมีการสร้างศาสนสถานด้วนหินทรายในดินแดนในปกครองมากมายด้านเหนือของพิมายกินอาณาบริเวณถึงลาว(จำปาสัก)
ปรากฏหลักฐานศาสนสถานหินทรายอยู่ทั่งไปเช่นในจำปาสัก บนพนมดงแร็กศรีษะเกษ สุรินทร์
บุรีรัมย์ นครวัธ นครธม ด้วยทำเลที่ตั้งเป็นที่ราบสูงแห้งแล้ง
เจ้าชัยวรมัน(พระองค์แรก)จึงสร้างศูนย์กลางพระนครขึ้นที่นครวัธมีการสร้างปราสาทที่ประทับของพระอิศวรและเทพต่างๆตามความเชื่อทางศาสนาฮินดูปราสาทแต่ละแห่งมีขนาดใหญ่แสดงถึงความมีอำนาจและความมั่งคั่งของพระราชาขอม
ถือว่าขอมมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดวิวัฒนาการสืบต่อมาในกษัตริย์ขอมอีกหลายพระองค์ในการก่อสร้างศาสนสถานต่างๆขึ้นให้สำเร็จ
เมืองในสุวรรณภูมิ ในล้านนา
ล้านช้างยังคงมีพระราชาปกครองแต่ยอมรับอำนาจขอมที่มีอิทธิพลมากกว่าปกครองซ้อนอีกชั้นหนึ่งอยู่หลวมๆหากมีเมืองใดคิดเป็นปรปักษ์
จึงจะเกิดทำสงครามกำจัดพระราชาเมืองนั้นและแต่งตั้งพระราชาพระองค์ใหม่จากเมืองนั้นที่ขอมเลือกขึ้นปกครอง
ความผูกพันอาศัยการแต่งงานของราช
๒๔
สำนักของเมืองต่างๆดังนิทานพื้นถิ่นของอุษาคเนย์หลายเรื่องที่ลูกเจ้าเมืองแต่งงานกับเจ้าหญิงต่างเมือง
ซึ่งเป็นการผูกสัมพันธ์กันไปมาระหว่างเมือง ส่วนพลเมืองก็มีเคลื่อนย้ายค้าขาย
และแต่งงานกันโดยอิสระโดยไม่มีกฏหมายต่างด้าวดังเช่นยุคปัจจุบัน เขตปกครองของขอมกว้างใหญ่ดังนี้
ด้านเหนือติดหริภุญชัย ล้านช้าง และจีน
ด้านตะวันออกติดนามเวียด
ตะวันตกติดตะนาวศรีเมืองมอญ
ทิศใต้ติดเมืองศรีธรรมราช
ต่อมาอิทธิพลทางอำนาจของขอมเริ่มเปลี่ยนอันเกิดจากการเข้ามาติดต่อค้าขาย
จากเขตแคว้นอื่นๆต่างภูมิภาคทั้งทางบกและทางทะเลดังเมืองที่มีที่ราบลุ่มเหมาะกับการเพาะปลูกมีแม่น้ำหล่อเลี้ยงและเป็นเส้นทางค้าขายเมืองนั้นจะเจริญมั่งคั่งเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าขายต่างประเทศระหว่างภูมิภาค
ด้านตะวันตกของขอม มีแม่น้ำคงคา แม่น้ำอิรวดี เมืองในอินเดีย และ
พม่าในปัจุบันจึงมีความเจริญมั่งคั่ง ส่วนขอมไม่อาจสร้างอิทธิพลเหนือกว่าได้
ด้วยสุวรรณภูมิเป็นแผ่นดินยื่นไปในสองมหาสมุทรด้านมหาสมุทรอินเดียลุ่มน้ำอิรวดี
พม่าและมอญจึงมีความเจริญจากการค้าขายติดต่อกับชาวเปอร์เซีย ชาวอินเดียที่มุ่งหน้ามาด้านตะวันออกอีกด้านหนึ่งสุวรรณภูมิติดมหาสมุทรแปซิฟิคลุ่มน้ำท่าจีน(แม่น้ำสุพรรณ)ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีสาขาอีกสี่แม่น้ำจากด้านเหนือจึงเป็นดินแดนที่มั่งคั่งดังนั้นด้วยความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มีชาวจีนเดินเรือมาค้าขาย
พลเมืองหลายเผ่าพันธุ์จึงเดินทางเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้นการสร้างสมเป็นกำลังไพร่พลและการปกป้องผลประโยชน์จากการค้าขาย
จึงสร้างความเข้มแข็งปฏิเสธอำนาจจากขอมที่ปกครองและทำสงครามจนได้ชัยชนะ
ดังนั้นขอมที่เคยยิ่งใหญ่กลับเล็กลงจนเหลือแค่กัมพูชาในปัจจุบันในอาณาจักรขอมมีเมืองที่สำคัญที่ก่อกำเนิดเป็นสยามหรือไทยในปัจจุบันได้แก่
ละโว้ อู่ทอง สุพรรณภูมิ อโยธยา ศรีชุม ชากังราว สองแคว พระวิศณุโลก บางยาง
ราด ศรีเทพ พิมาย
วิวัฒนาการแข็งเมืองปฏิเสธอำนาจขอมมีเกิดขึ้นหลายเมืองกล่าวคือเมืองที่รวมกันถือว่าเป็นอโยธยามีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียวกับสุโขทัยคือเมืองละโว้
อู่ทอง สุพรรณ อโยธยาพลเมืองเป็นคนเขมร
มอญและลาวที่เดินทางมาค้าขายและอาศัยอยู่ในพื้นที่ละโว้เป็นพลเมืองจากการแต่งงานดังที่กล่าวมาแล้ว
และมีพ่อค้าจีน เปอร์เซียร์ แขก มลายู ศรีวิชัย
เข้ามาค้าขายยังดินแดนลุ่มน้ำทำให้พลเมืองเพิ่มมากขึ้นเมืองขยายใหญ่ขึ้นศูนย์กลางอำนาจวังเจ้าเมืองอยู่ที่เมืองละโว้
๒๕
ส่วนเมือง
สุพรรณเมืองท่าค้าขายแห่งลุ่มน้ำสุพรรณก็มีเจ้าปกครองเป็นพันธมิตรกับละโว้ และอโยธยา
เมืองท่าค้าขายแห่งลุ่มน้ำบางเกาะ(เจ้าพระยา) และอโยธยานี้ยังมีพันธมิตรทางการค้าจากเมืองต้นน้ำเจ้าพระยาอีกหลายเมืองในการผลิตและจัดหาของป่าส่งลงมายังอโยธยาได้แก่
ศีสัชนาลัย ศรีชุม ชากังลาว พิชัย ฝาง พระวิศนุโลก สองแคว ราด บางยาง
อโยธยามั่งคั่งจากเป็นเมืองระหว่างทางน้ำอกกทะเลของเมืองเหนือน้ำที่กล่าวมาและยังทำการค้านาๆชาติระหว่างจีน
แขก อาหรับ มลายูจึงมีพลเมืองทั้งชนพื้นเมือง มอญลาว เขมร มลายู
ซึ่งเรียกรวมรวมๆว่าชาวอโยธยา
แรกเริ่มเดิมทีครั้งขอมปกครองวังเจ้าเมืองอยู่ละโว้เมื่อไม่ขึ้นกับขอมจึงย้าย วังของกษัตริย์ลงใต้เพื่อสะดวกในการค้าขายควบคุมแม่น้ำที่เป็นทั้งเส้นเลือดด้านการเพาะปลูกและเมืองท่าค้าขายมาอยู่บริเวณวัดอโยธยาคลองหันตรา
ศูนย์กลางเมือง การค้าขายอยู่ตรงวัดใหญ่ชัยมงคลต่อมาบริเวณนี้ชาวจามมีถิ่นฐานอยู่เขมรเข้ามาค้าขายอยู่มากจนเรียกว่าเมืองปทาคูจาม
จนถึงสมัยพระเจ้าธรรมมิกราชจึงขยายย้ายวังมาบริเวณวัดธรรมมิกราช กษัตริย์ที่ปกครองอโยธยาตั้งแต่ราวๆศรรตวรรษที่๑๖เป็นต้นมาพอจะมีบันทึกเอาไว้ปฐมกษัตริย์ได้แก่
๑.พระนารายณ์ ราว พ.ศ.๑๖๒๕ – ๑๖๓๐
ราชวงศ์ละโว้
ละโว้ศูนย์กลางปกครองของขอมเดิมที่ปกครองกลุ่มเมืองนี้อยู่จนพระนารายณ์แข็งเมืองต่อขอมเมื่อสิ้นพระนารายณ์เกิดการสู้รบกับขอมนานถึง
๒ ปีจึงสงบโดยเจ้าหลวงขึ้นปกครองเมืองละโว้ ๒.พระเจ้าหลวง
ราว พ.ศ. ๑๖๓๒ – ๑๖๕๔ ราชวงศ์ละโว้
ได้ย้ายศูนย์กลางปกครองจากละโว้มายังอโยธยา
บริเวณวัดอโยธยา
๓.พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ราว พ.ศ. ๑๖๕๔ – ๑๗๐๘ ราชวงศ์ละโว้
(สร้างวัดพนัญเชิงและวัดมงคลบพิตร) ๔.พระเจ้าธรรมมิกราช ราวพ.ศ. ๑๗๐๘ – ๑๗๔๘
ราชวงศ์ละโว้
(ย้ายเมืองมาด้านแม่น้ำทิศตะวันตกสร้างพระราชวังบริเวณวัดธรรมมิกราชในปัจจุบัน) ๕.พระเจ้าอู่ทอง ราว พ.ศ. ๑๗๔๘ – ๑๗๙๖ ราชวงศ์อู่ทอง
๖.พระเจ้าชัยเสน ราวพ.ศ.๑๗๙๖ – ๑๘๒๓ ราชวงศ์อู่ทอง
๗.พระเจ้าสุวรรณราชา ราวพ.ศ.๑๘๒๓ –
๑๘๔๔ ราชวงศ์อู่ทอง
๒๖
๘. พระเจ้าธรรมราชา ราวพ.ศ.๑๘๔๔ – ๑๘๕๓ ราชวงศ์อู่ทอง
๙.พระบรมราชา
ราวพ.ศ.๑๘๕๓ –๑๘๘๗ ราชวงศ์สุพรรณ
๑๐.ท้าวอู่ทองหรือ ขุนหลวงวรเชษฐ ราวพ.ศ.๑๘๘๗
ราชวงศ์อู่ทอง สถาปนาอโยธยาเป็นกรุงเทพทราวดีศรีอยุธยา
ด้านเมือง(พันทุมบุรี)สุพรรณ มีพระราชาปกครองเฉกเช่นอโยธยา
ขณะนั้นเมืองแสนที่มีพลเมืองเป็นลาว ลั๊ว ลื้อ (เชียงแสนในภาษาล้านนา)ที่มีความเจริญแห่งลุ่มน้ำโขงท้าวแสนพรหมโอรสพระเจ้าเชียงแสนได้ยกทัพเชียงแสนแผ่อิทธิพลมายังดินแดนในปกครองขอมยึดได้เมืองไตรตึงษ์(เมืองลุ่มน้ำปิงแถบเมืองชากังราว)ยึดหมายถึงรบชนะได้เสบียงอาหารและทรัพย์สินเป็นเสบียงไม่ได้ยึดดินแดนแล้วอยู่ปกครองเหมือนการรบในปัจจุบัน
แล้วจึงมุ่งทัพสู่อู่ทองเมืองท่าสำคัญอีกเมืองของขอมบนลุ่มน้ำสุพรรณ(อู่ทองเคยร้างผู้คนมาแล้วในอดีตจากโรคระบาด
ก่อนจะเป็นเมืองอีกครั้งหนึ่ง) เมื่อสามารถยึดอู่ทอง ทัพชาวลาวเชียงแสนจึงอยู่อาศัยในอู่ทองมากมายได้แต่งงานอยู่ครัวกับมอญ
เขมรในถิ่นขอเรียกว่าชาวสุพรรณ
ด้านเจ้าเมืองสุพรรณด้วยเกรงท้าวแสนพรหมจึงยกพระธิดาให้อภิเษกกับท้าวแสนพรหม และยกราชสมบัติให้ท้าวแสนพรหมจึงขึ้นครองเมืองสุพรรณต่อมาท้าวแสนพรหมเจ้าเมืองสุพรรณได้มีราชโอรสชื่อท้าวอู่ทอง
และราชธิดามีขุนงั่วเป็นกลาโหมแม่ทัพใหญ่ และได้อภิเษกกับพระธิดาของพระเจ้าสุพรรณ
เจ้าเมืองสุพรรณได้เข้ายึดเมืองต่างๆบริเวณลุ่มน้ำสุพรรณ(แม่น้ำท่าจีน)ยึดได้เมืองนครชัยศรี
ราชบุรี เพชรบุรีดังนั้นอาณาเขตสุพรรณจึงลงไปถึงเมืองพลิบพีหรือเพชรบุรีต่อเมืองนครศรีธรรมราช(นครฯ
สุราษฏ์,ชุมพร ประจวบฯ) ขณะนั้น เมืองอโยธยาร่ำรวยนักจากการค้าขายมากกว่า
สุพรรณและอู่ทองเสียอีกด้วยมีทำเลตั้งอยู่ริมแม่น้ำกว้างใหญ่เข้าออกปากน้ำทะเลใกล้กว่าแม่น้ำสุพรรณ
มีเรือต่างชาติเข้าออกค้าขายมากมายและอโยธยายังมีพันธมิตรการค้าคือหัวเมืองเหนือน้ำคือเมืองรุ่งหรือสุโขทัย
ดังนั้นเพื่อควบคุมเมืองท่าทั้งสองลำน้ำ ท้าวอู่ทองจึงได้นำทัพจากอู่ทองพร้อมขุนงั่วมาตีอโยธยา
มีชัยเหนือพระเจ้าอโยธยา จึงสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์อโยธยา ราวปีพ.ศ.๑๘๙๓
ด้วยอโยธยามากมายผู้คนแขก จีน มอญเขมร การค้าเจริญมากกว่าเมืองสุพรรณ
พระองค์จึงดำหริก่อสร้างพระนครให้ใหญ่โตรองรับการค้าขายและเมื่อมีความมั่งคั่งจึงต้องป้องกันข้าศึกอันได้แก่หัวเมืองอื่นๆ
ขอมเขมร มอญ ดังนั้นจึงได้ก่อสร้างทั้งวัง วัด เมือง ตลาด
ทั้งขุดคลองสัญจรและก่อสร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกโจมตี ท้าวแสนพรม
พระราชบิดาท้าวอู่ทองได้ก่อสร้าง
๒๗
พระใหญ่วัดพนัญเชิงจนเสร็จก็ด้วยเบี้ยจากการเก็บภาษีเมืองท่านี่เองเมื่อเป็นเมืองท่าค้าขายอโยธยาจึงผลิตและจัดหาสินค้าเพื่อป้อนให้พ่อค้าจากเปอร์เซียบ้าง
จีนบ้าง มะละกา
มลายูที่เดินเรือใบเข้ามาเมื่อต้องการสินค้ามากจึงต้องจัดหายังเมืองอื่นๆเมืองที่สำคัญในการรวบรวมสินค้ามายังกรุงศรีอยุธยาได้แก่สุโขทัยเมืองน่านโดยขนทางเกวียนมาลงเรือเล็กที่ท่าอิดเมืองพิชัยล่องแม่น้ำน่านลงมาดังนั้นความสัมพันธ์จึงมีเกี่ยวพันไปมา
ขณะนั้นสุโขทัย(แถบบ้านด่านลานหอย)เป็นศูนย์กลางการค้าทางบกระหว่างท่าเรือเมืองเมาะลำเลิงอ่าวตะมะของมอญ
กับเมืองเว้ ของญวนอ่าวตังเกี๋ย (ดูภาพที่ ๑ แผนที่เส้นทาง) มีพ่อค้าจีนค้าขายเครื่องเหล็ก
ถ้วยชามเครื่องประดับกับพ่อค้าเปอร์เซียส่วนหนึ่งถ่ายเทสินค้าลงมาที่พิชัยลงมากรุงศรีอยุธยาอีกทางหนึ่ง
การค้าขายทั้งหมดยุคสมัยนั้นอยู่ในแวดวงศ์ของพระราชาและขุนนางโดยมีพลเมืองเป็นลูกค้าและผู้จัดหาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มพ่อค้าเช่นหนังสัตว์
เครื่องเทศ และข้าว รวมทั้งเป็นผู้ผลิตตัวแทนอีกด้วยเช่นการถลุงเหล็ก
การเผาเครื่องกระเบื้องที่มีจีนเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญที่นำเข้าจากเปอร์เซีย
อินเดียได้แก่ผ้า พรม ต่างๆ
กล่าวถึง เมืองสุโขทัยนั้นจากการเคลื่อนย้ายชนเข้ามาค้าขายและปกป้องผลประโยชน์จากการค้าจากชนขอมพื้นเมือง
ยังมี ลาว ลั๊ว มอญ ที่อยู่อาศัยทั่วทั้งดินแดนทั้งอโยธยา สุพรรณ สุโขทัย จึงทำให้ผู้คนผสมกลมกลืนเรียกตัวเองว่าไท
เช่นเดียวกับเมืองอโยธยา
สุโขทัยนั้นมีการปกครองภายใต้อำนาจขอมเช่นเดียวกับอโยธยามีขุนหลวงปกครอง(พระราชา)สืบต่อมาจนถึงขุนศรีนาวนำถมเริ่มมีปัญหาการเมืองเกิดขึ้นโดยขอมเล็งถึงความมั่งคั่งจากการค้าจึงขอบรรณาการมากขึ้นและส่งขุนนางขอมจากพระนครยโสธรนครธม
มาดูแลผลประโยชน์ ขุนศรีนาวนำถม มีโอรส และพระธิดา คือขุนผาเมือง และแม่นางเสือง
เพื่อผูกพันขยายอำนาจจึงยกพระนางเสืองให้ขุนบางเจ้าเมืองบางยาง(นครไทยในปัจจุบัน)
ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งบนเส้นทางการค้าดังกล่าว ส่วนขุนผาเมืองนั้น กษัตริย์ขอมได้ยกพระธิดาสิงขรมหาเทวีให้อภิเษกด้วยพร้อมพระราชทานพระขรรค์ชัยศรีให้ราชบุตรเขย
พร้อมตั้งพระนามให้ว่า “กมรเต็งอันผาเมือง” สมัยนั้นอิสตรีทำหน้าที่ดูแลบ้านเมืองทั้งปวงขณะที่ชายทำหน้าที่ค้าขาย
และรบทัพจับศึกการยกพระธิดาก็เพื่อควบคุมเมืองสุโขทัยเมื่อขุนผาเมืองต้องสืบต่อบรรลังค์ต่อจากขุนศรีนาวนำถมและต้องการกำลังไพร่พลเพื่อเสริมทัพ
เพราะขณะนั้นขอมกัมพุช มีสงครามติดพันกับแคว้นจามปาประเทศที่แยกตนออกจากกัมพุชครองดินแดนแถบริมทะเลปากน้ำโขง
ตรงนี้แหละสำคัญที่เราเรียกชาวจามปาประเทศว่า
๒๘
พวกแขกจามนั่นเอง
เพื่อควบคุมเส้นทางการค้าไปยังแดนขอมและญวน อีกด้านหนึ่งของเทือกเขา(เทือกเขาเพชรบูรณ์ที่ทอดตัวจากลาว-น่าน-เพชรบูรณ์-พิษณุโลก)ขุนศรีนาวนำถม
จึงให้ขุนผาเมืองมาครองเมืองราด(หล่มสัก)
ด้านละโว้ พญาสะบาดโขนลำพง เป็นข้าหลวงที่พระเจ้าชัยวรมันส่งมาดูแลเมืองต่างๆในสุวรรณภูมิทั้งอโยธยา
สุพรรณ อู่ทอง พิมาย สุโขทัย ศรีเทพ ด้วยแลเห็นความมั่งคั่งจากการค้าของเมืองต่างๆ
มีมากขึ้นไม่เหมือนเมืองเถื่อนดังเก่าก่อนจึงคิดการเข้าควบคุมเพื่อเก็บส่วยสาอากรให้มากกว่าบรรณาการที่ส่งไปยัง
ยโสธรนครธม ครั้นขุนศรีนาวนำถมถึงแก่พิราลัย จึงนำกำลังเข้ายึดเมือง
การยึดเมืองสุโขทัยศูนย์กลางการค้าทาบกกระทบกระเทือนไปทั่วภูมิภาค
ด้วยสินค้าต่างๆทั้งของป่า ถ้วยชาม เหล็ก แพรพรรณ จากท่าเมาะมะ
และท่าญวนต้องผ่านจากหัวเมืองนี้ และส่งลงไปอโยธยา
ชาวเมืองทั้งหลายจึงคิดการแข็งเมืองต่ออำนาจขอม โดยขุนบางและขุนผาเมืองนำกองทัพจากเมืองราดและเมืองบางยางเข้าโจมตีพญาขอมสะบาดลำพงสามารถสังหารได้
ขุนบางจึงสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองสุโขทัยทรงพระนามว่า ศรีอินทราทิตย์ ส่วน
ขุนผาเมืองยังคงปกครองเมืองราดดังเดิม
ความเป็นอิสระของเมืองต่างๆจึงกลับคืนมาดังเดิม
ขณะนั้นอำนาจของขอมเริ่มอ่อนลงคงปกครองเมืองได้ถึงเมืองศรีเทพ พิมาย เท่านั้น
ส่วนสุโขทัยปกครองถึงเมืองชากังราว เมืองระแหง ศรีสัชนาลัย พระวิศณุโลก
ส่วนเมืองสองแคว พิชัย น่านราชวงศ์ผาเมือง เมืองราดปกครองมีอาณาเขตถึงละโว้ของอโยธยา
ติดต่อกับเมืองสุพรรณของ
๒๙
พระเจ้าสุพรรณ
เมืองอโยธยาที่มีอาณาเขตอิทธิพลขึ้นมาถึงปากน้ำโผล่
ความเป็นเมืองอิสระมีดังนี้ต่อมาอีกหลายขวบปี
เมื่อขุนรามกษัตริย์สุโขทัยพระองค์ต่อมาได้เข้ายึดอำนาจของราชวงศ์ผาเมืองเมื่อสิ้นขุนผาเมืองแล้ว
ลดบทบาทเมืองราดเหลือเพียงเป็นเมืองหนึ่งในแคว้นของสุโขทัย
ดังนั้นเมืองสองแควจึงอยู่ในอำนาจสุโขทัยด้วย
จึงพอสรุปได้ว่าเมืองใหญ่ของชนชาวมอญ-เขมร-ลาว-ลั๊ว
– ลื้อ ผสมกลมกลืนเป็นคนถิ่นของเมืองเหล่านี้ ขณะนั้นเมืองที่กล่าวมาไม่ขึ้นต่อกันได้แก่ด้านเหนือ
ศูนย์กลางอยู่ที่สุโขทัย ตอนกลางมีสุพรรณ และอโยธยา ตอนใต้มีศรีธรรมราช
ส่วนสุพรรณนั้นได้เข้าปกครองรวมกับอโยธยาและวิวัฒนาการมาเป็นกรุงศรีอยุธยาศรีรามเทพนครเมืองทั้งหมดรุ่งเรืองขึ้นมาพร้อมกับการล่มสลายของขอมเหลือเพียงกัมพุชประเทศ
ที่มีชนชาวเขมร-ลาว-ญวน – จาม-มลายู ผสมกลมกลืนกันเป็นคนแขมร์
ส่วนจามในเวลาต่อมาก็สูญสิ้นความเป็นแว่นแคว้นเหลือเพียงเป็นชนกลุ่มหนึ่งในกัมพุชประเทศ มูลเหตุของการทำสงครามเข้ายึดอำนาจปกครองกวาดต้อนผู้คนล้วนเกิดขึ้นในเวลาต่อมาก็
ด้วยเกิดจากมูลเหตุ การเคลื่อนย้ายผู้คนมายังเมืองท่าต่างๆเหล่านี้จนมีไพร่พลมากจัดเป็นทัพและโจมตีกันเพื่อแย่งผลประโยชน์และทรัพยากรจากการค้าที่อยู่ในมือขอพระราชาที่ครองเมืองจนเกิดข้อขัดแย้งระหว่างเมืองท่า
จนต้องทำสงครามกัน อีกมูลเหตุหนึ่งมาจากอิทธิพล
คติพระราชาเหนือพระราชาที่พระเจ้าอโศกมหาราชานำเข้ามาจากการค้าขายในภูมิภาคอุษาคเนย์
พร้อมกับการนำพุทธศาสนามากับขบวนพ่อค้าก็มีส่วนในการก่อสงครามด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น