ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บ้านร่มเกล้าสมรภูมิเลือดชโลมแผ่นดิน ตอนที่ ๕ จบ

https://www.youtubeto.com?task=MP4&url=https%3A%2F%2Fwww.youtube.com%2Fwatch%3Fv%3DqEnA-8g71Xs
 ๑๓ ก.พ.๒๕๓๑ เครื่องบินชุดเดิมจึงขึ้นบินโจมตีเป้าหมายอีกครั้งได้รับแจ้งข่าวจาก ฝูงบิน ๑๐๒ ว่า สปป.ลาวมีอาวุธต่อสู้อากาศยานที่มีอำนาจการยิงสูง ขอให้ระมัดระวัง 
ผบ.ฝูงบิน ๔๑๑ จึงได้สั่ง หมู่บินย่อยแรก บินนำเข้าสู่เป้าหมายและทิ้งระเบิดที่ความสูง ๖,๐๐๐ ฟุต หมู่บินย่อยที่ ๒ ให้บินอยู่เหนือขึ้นไปที่ ความสูง ๘,๐๐๐ ฟุต ทำหน้าที่เข้าโจมตีซ้ำหากหมู่บินแรกทิ้งระเบิดพลาดเป้าหมาย
ก่อนที่หมู่บิน เอฟ.๕ จะมาถึงเป้าหมายได้มีหมู่บิน โอวี๑๐ได้ โจมตีกวาดล้างรัง ปตอ.อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเอฟ.๕มาถึงและกำลังจะเข้าโจมตีต่อเป้าหมายคลังอาวุธ นักบิน เครื่อง๔หมู่๒ มองเห็นกลุ่มควันสีขาวจากพื้นดินพุ่งตรงมายัง เอฟ.๕ลำที่๑ หมู่๑ คาดว่าจะเป็นจรวดแซม ๗ เครื่องบินเสียการทรงตัว นักบินทั้งสองจึงต้องสละ เครื่อง (เวลาประมาณ ๑๓๐๐)โดดร่มไป ตกลงที่สนามบินบ้านนากอก เครื่องอีก ๓ ลำถูกระดมยิงจากอาวุธภาคพื้นดินอย่างหนักจนต้องถอนตัวกลับเข้ามาฝั่งไทย 
มีคำสั่งให้ เครื่องบินที่เหลือ ทั้ง ๓ เครื่อง กลับไปโจมตีเป้าหมายเดิมอีกครั้ง แต่ไม่อาจกระทำได้เพราะนักบิน ๒ คน ของเราถูกจับตัวไป อาจได้รับอันตรายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายเรา นักบินของเรา ถูกทหารลาวนำตัวไปควบคุมไว้ที่นครเวียงจันทร์ (ภายหลังจากมีการเจรจาสงบศึก คณะผู้แทนทหารของไทยจึงได้รับตัว นักบินทั้งสองกลับมาเมื่อวันที่ ๒๔ ก.พ.๒๕๓๑)
ในวันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประกาศกร้าวที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ หากจำเป็นจะเปิดศึกข้ามโขงก็ต้องทำ การเผชิญหน้ายังมีอยู่ต่อไปอีกหลายวันหน่วยจรยุทธของทหารพรานปฏิบัติการได้ผลที่หมายต่างๆทั้งปืนใหญ่ เส้นทางส่งกำลังบำรุงจากแขวงไชยบุรีรวมทั้งเนิน ๑๔๒๘ถูกทำลายจนหน่วยกำลังรบพร้อมที่จะเข้าตีขั้นแตกหักอีกครั้ง      ต่างคอยคำสั่งเข้าตีเพื่อเผด็จศึกข้าศึกให้ได้ เมื่อทางลาวถูกทำลายอาวุธสนับสนุนและถูกตัดเส้นทางส่งกำลังมายังแนวหน้า           จึงเร่งเปิดการเจรจากับฝ่ายไทย        สอดคล้องกับความเห็นของรัฐบาลที่ต้องการยุติปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการเจรจาคำสั่งต่างๆจึงยังเงียบอยู่        จนมีคำสั่งให้หยุดยิงตามผลการเจรจาในวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ หลังจากนั้นจึงมีคำสั่งถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทใน ๔๘ ชั่วโมง สรุปความสูญเสียของการรบครั้งนี้
เปรียบ เทียบหน่วย ขนาดหนึ่งกองพัน (ประกอบด้วย ๑ กองร้อยบังคับการ ๓ กองร้อยอาวุธเบา)  เสียชีวิตประมาณ ๑กองร้อย บาดเจ็บสาหัส ๑ กองร้อย  บาดเจ็บไม่มากนัก ๒ กองร้อย ในจำนวนนี้ต้องพิการ ประมาณ ๑ หมวด ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิด และกระสุนปืนใหญ่และปืน ค.กำลังพลส่วนที่พิการนั้นส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการเหยียบกับระเบิดเพราะฝ่ายเราเป็นฝ่ายเข้าตีที่ต้องเคลื่อนที่ผ่านดงกับระเบิดนับหมื่นๆลูกซึ่งเป็นลักษณะการทำสงครามของประเทศฝ่ายตรงข้ามของเราในหลายๆพื้นที่
ส่วนฝ่าย สปป.ลาวและพันธมิตร เทียบกองพันทหารราบ ๔กองร้อย เสียชีวิต ประมาณ มากกว่า๒ กองร้อย บาดเจ็บประมาณ ๒ กองร้อย เช่นเดียวกันเสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดและกระสุนปืนใหญ่ ส่วนที่พิการนั้นมีน้อยกว่าไทยเพราะการใช้กับระเบิดฝ่ายไทยนั้นมีน้อยกว่าฝ่ายลาวมาก
 ๒๘ก.พ. กองทัพบกจึงสั่งการให้ทัพภาค ๓ จัดกำลังไปทดแทนกองพันทหารม้า โดยจัดทหารราบจาก พล.ร.๔เข้าผลัดเปลี่ยนแทนกำลังจากพล.ม.๑


                   .......................................................................................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น