๖๐
ตอนที่
๗ ขุนหลวงอโยธยา
อโยธยานั้นเป็นเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองมานานในยุคเดียวกับสุโขทัย
ลพบุรี สุพรรณบุรี หริภุญชัย เชียงใหม่ ลำปาง ตองอู
แต่มีผู้คนเพิ่มมากขึ้นมีกองกำลังทหารเพิ่มมากขึ้นยุคสร้างราชอาณาจักรกรุงเทพทราวดีขึ้นใหม่จากเมืองอโยธยา
สมัยกษัตริย์ท้าวอู่ทองหรือพระรามาธิบดี ลำดับพระองค์เป็นราชวงศ์อู่ทองจะเห็นได้ว่าอโยธยาไม่มีราชวงศ์อโยธยาที่กำเนิดจากอโยธยาโดยตรงเหมือนล้านนาและสุโขทัยคงเป็นกลุ่มเมืองเดียวกับสุพรรณ
อู่ทอง และละโว้แสดงให้เห็นว่าทั้งสุพรรณ อู่ทอง และลพบุรีนั้นมีความเข้มแข็งว่าอโยธยาสามารถนำกำลังเข้าครอบครองเมืองท่าอโยธยา
อู่ทอง กับ สุพรรณภูมินั้นด้วยมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติกับราชวงศ์สุพรรณภูมิ กษัตริย์สุพรรณ
ครั้นราชวงศ์อู่ทองมีความอ่อนแอราชวงศ์สุพรรณภมิก็เข้ายึดอำนาจปกครองอโยธยาเมื่อราชวงศ์สุพรรณภูมิอ่อนแอราชวงศ์อู่ทองก็ยึดอำนาจคืน
เมื่อราชวงศ์สุพรรณ และอู่ทองอ่อนแอลง
เชื้อพระวงศ์ของสุโขทัย(พระมหาธรรมราชา-ขุนพิเรนเทพ)ยึดอำนาจอโยธยาได้ก็สถาปนาเรียกว่าราชวงศ์สุโขทัย
การขึ้นเป็นกษัตริย์อโยธยาไม่ใช่มีแต่ การสืบเชื้อสายจากเจ้าของทั้ง ๓
ราชวงศ์อู่ทอง(เชียงแสน) สุพรรณภูมิ และสุโขทัยเท่านั้น
ยังมีสามัญชนที่กุมอำนาจทหารทำการรัฐประหารปราบดาภิเศกตั้งราชวงศ์ขึ้นใหม่คือราชวงศ์ปราสาททอง
และราชวงศ์บ้านพลูหลวงรวมกษัตริย์เป็น ๕ราชวงศ์ มีกษัตริย์ ๓๓ พระองค์ คือ
ราชวงศ์อู่ทอง(เชียงแสน) ๓ พระองค์ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ๑๓
พระองค์ ราชวงศ์สุโขทัย ๗ พระองค์ ราชวงศ์ปราสาททอง
๔ พระองค์ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ๖ พระองค์
พระนามของพระมหากษัตริย์ สมัยกรุงศรีอโยธยาได้รับคติเรื่อง"นารายณ์อวตาร" มาจาก อินเดียและกัมพูชา
พระนาม"รามาธิบดี"(พระราม) มาจากคัมภีร์รามายณะของอินเดียซึ่งพระรามเป็นราชาครองเมืองอโยธยาและการมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักร
ขอมรับอิทธิพลต่อจากอินเดียและทั้งสุโขทัย และอโยธยาล้วนรับอิทธิพลต่อจากขอม
ไม่ใช่อยู่ๆก็คิดขึ้นมาได้เอง
ราชวงศ์อู่ทองมีที่มั่นเดิมอยู่ในละโว้อันเป็นศูนย์อำนาจเก่าที่ใกล้ชิดกับพระนคร(เขมร)ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็น เทวราชา
พระนามของกษัตริย์อโยธยาสายนี้ จึงเกี่ยวข้องกับนารายณ์ทั้งสิ้น
รามาธิบดี ราเมศวร รามราชา
ส่วนราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีที่มั่นสุพรรณบุรี
ใกล้ชิดกับความเชื่อทางพม่าที่นับถือว่ากษัตริย์นั้นเปรียบได้ดั่งหัวหน้าเทวดาหรือพระอินทร์
ถือเอาคติ"สมมติเทพ"พระนามก็มาแนว
อินทราชา บรมราชาธิราช
ในส่วนของราชวงศ์กรุงสุโขทัย
เมื่อถูกท้าทายจากราชวงศ์แห่งกรุงศรีอโยธยา จึงจำเป็นต้องสถาปนาราชวงศ์
ขึ้นเป็นราชาเหนือราชาบ้าง
โดยเมื่อราชสำนักรับพุทธศาสนาเป็นศาสนประจำราชอาณาจักรจึงสืบทอดแนวคิดพุทธเถรวาท
พระมหากษัตริย์เป็น “มหาธรรมราชา” หรือเทียบเสมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นพระนามของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์จึงใช้พระนามเดียวกันว่าพระมหาธรรมราชา
ซึ่งหมายถึงพระองค์ปัจจุบัน
๖๑
ยกเว้นพระบรมไตรโลกนารถ หมายถึงเป็นใหญ่ทั้งสามโลก หากพระนามของพระองค์เก่าที่สวรรคตแล้วมักเรียกพระนามเดิมหรือฉายาอื่นที่ประชาชนขนานพระนาม
แต่เมื่อนักประวัติศาสตร์อ่านพงศาวดารต่างๆกล่าวถึงชื่อกษัตริย์เป็นชื่อเดียวกันแต่ต่างปีกันมากจึงใส่หมายเลขเพื่อให้จดจำได้ว่าเป็นกษัตริย์พระองค์ใด
พระนามพระเจ้าแผ่นดินทั้งไทยทั้งอังวะมอญตามที่เรียกกันแต่ก่อนมา
ลัทธิของชาวเมืองทางนี้มีวิธีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินถึงห้าอย่างต่างกัน คือ
๑. พระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏเมื่อจะทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ขึ้นผ่านพิภพ
สมณพราหมณ์แลเสนาพฤฒามาตย์ที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองประชุมปรึกษากันถวายพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น
จารึกลงในแผ่นทองถวายเมื่อทำพิธีราชาภิเษก มักเป็นพระนามมีสร้อยยืดยาวมาก
๒. พระนามพิเศษถวายเพิ่มพระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอันเป็นพระเกียรติยศพิเศษ
จึงถวายพระนามพิเศษเฉลิมพระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นเช่นพระเจ้าช้างเผือก
พระเจ้าทรงธรรม
๓. พระนามที่เรียกกันในเวลาเมื่อเสด็จดำรงพระชนม์อยู่ราษฎรมักเรียกเหมือนกันทุกพระองค์เช่น
ขุนหลวง พระเจ้า(พระเจ้าอยู่หัว)เช่นพระเจ้ากรุงศรีอโยธยา
๔. พระนามตามที่ปากตลาดเรียกขาน กล่าวถึงเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้วเช่นขุนหลวงเพทราชา
ขุนหลวงเสือ ขุนหลวงท้ายสระ ขุนหลวงทรงปลา เพราะเสด็จอยู่พระที่นั่งข้างท้ายสระ
เป็นต้น ตลอดจนขุนหลวงบรมโกศ
เป็นพระนามที่มักเรียกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่พึ่งสวรรคตล่วงไปแล้วทุกพระองค์อย่างเราเรียกกันว่า
ในพระโกศ นี้เอง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
(เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หลังในกรุงศรีอยุธยาที่ได้ทรงพระโกศ) คนคงเรียกกันว่า
พระเจ้าอยู่ในพระบรมโกศ หรือในพระโกศ) ขุนหลวงหาวัด
ส่วนพระที่นั่งสุริยามรินทร์นั้น ครั้งกรุงเก่าคงเรียกกันเพียงว่า ขุนหลวง
หรือพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เสวยราชย์พระองค์หลังที่สุด
มาเรียกพระนามอื่นตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรีเรียกว่า ขุนหลวงพระที่นั่งสุริยามรินทร์
เพราะเสด็จอยู่ที่พระที่นั่งนั้น ครั้นถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีเอง
ต่อมาชั้นหลังเรียกกันว่า ขุนหลวงตาก ด้วยเหตุได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองตากครั้งกรุงศรีอยุธยา
ประเพณีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินตามปากตลาดดังนี้มีตลอดจนเมืองพม่ารามัญ
๕. พระนามที่เรียกในราชการในเวลาเมื่อล่วงรัชกาล
ไปแล้วเกิดแต่ความจำเป็นที่จะต้องเรียกพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อน ๆ
ให้ปรากฏพระนามผิดกัน เพราะพระนามตามพระสุพรรณบัฏมักจะเหมือนกันโดยมากเช่นรามาธิบดี
บรมราชา จึงต้องสมมตพระนามขึ้นสำหรับเรียกเฉพาะพระองค์ ใส่หมายเลขที่๑ที่๒ โดยมากนั้นเรียกตามพระนามเดิมที่ปรากฏแก่คนทั้งหลายเมื่อก่อนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น
ๆ ได้ผ่านพิภพ ยกตัวอย่างดังพระนามพระเจ้าแผ่นดินที่เรียกว่า พระราเมศวร พระมหินทร์
พระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระรัษฎา พระยอดฟ้า
๖๒
พระเชษฐา
พระอาทิตยวงศ์ เจ้าทองจันทร์ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ เจ้าฟ้าไชย
เหล่านี้เป็นพระนามแต่ครั้งยังเป็นลูกหลวงทั้งนั้นพระนามที่เรียกว่า พระบรมราชา
พระรามราชา พระอินทราชา พระไชยราชา พระมหาธรรมราชา พระศรีสุธรรมราชา
เหล่านี้บรรดาที่ใช้คำว่า ราชา ไว้ท้าย ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
เป็นพระนามสำหรับเจ้าครองเมือง
รายพระนามพระมหากษัตริย์กรุงศรีอโยธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีบดินทรศรีสุรินทรบรมมหาจักรพรรดิศร
บวรธรรมิกมหาราชาธิราช ชาติหริหรินทร อินทรเดโชชัย มไหสุริยสวรรยา
เทพาดิเทพตรีภูวนาถ บรมบาทบพิตร (พ.ศ.
๑๘๙๓-๑๙๑๒) ต้นราชวงศ์อู่ทอง สมเด็จพระราเมศวร (ถูกรัฐประหารโดยขุนงั่ว)
สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) (พ.ศ.
๑๙๑๓-๑๙๓๑)ต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิ สมเด็จพระเจ้าทองลัน (พ.ศ.
๑๙๓๑)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระราเมศวร (พ.ศ.
๑๙๓๑-๑๙๓๘)ราชวงศ์อู่ทอง
สมเด็จพระรามราชาธิราช (พ.ศ.
๑๙๓๘-๑๙๕๒)ราชวงศ์อู่ทอง สิ้นราชวงศ์อู่ทอง
สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) (พ.ศ.
๑๙๕๒-๑๙๖๗)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) (พ.ศ.
๑๙๖๗-๑๙๙๑)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระรามาธิบดีบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.
๑๙๙๑-๒๐๓๑)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พ.ศ.
๒๐๓๑-๒๐๓๔)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จมหาจักรพรรดิราชราเมศวรบรมนาถบรมบพิตร(พระรามาธิบดีที่๒) (พ.ศ.๒๐๓๔-๒๐๗๒)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (หน่อพุทธางกูร) (พ.ศ.
๒๐๗๒-๒๐๗๖)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
พระรัษฎาธิราช (พ.ศ.
๒๐๗๖-๒๐๗๗)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมจักรพรรดิศรบวรธรรมิกมหาราชาธิราช(พระไชยราชาธิราช) (พ.ศ.
๒๐๗๗-๒๐๘๙)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
พระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า) (พ.ศ.
๒๐๘๙-๒๐๙๑)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
ขุนวรวงศาธิราช (พ.ศ.๒๐๙๑)กับการพยายามฟื้นฟูราชวงศ์อู่ทองของท้าวศรีสุดาจันทร์
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ.
๒๐๙๑-๒๑๑๑)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
สมเด็จพระมหินทราธิราช (พ.ศ.
๒๑๑๑-๒๑๑๒)ราชวงศ์สุพรรณภูมิ สิ้นราชวงศ์
๖๓
สมเด็จพระสรรเพชญวงศ์กุรุสุริโยดมบรมมหาธรรมราชาธิราชราเมศร (พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๓๓)ต้นราชวงศ์สุโขทัย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.
๒๑๓๓-๒๑๔๘)ราชวงศ์สุโขทัย
สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร (พ.ศ.๒๑๔๘-๒๑๕๓)ราชวงศ์สุโขทัย
พระศรีเสาวภาคย์ (พ.ศ.
๒๑๕๓-๒๑๕๔)ราชวงศ์สุโขทัย
สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร(พระเจ้าทรงธรรม) (พ.ศ.๒๑๕๔-๒๑๗๑)ราชวงศ์สุโขทัย
สมเด็จพระเชษฐาธิราช (พ.ศ.
๒๑๗๑-๒๑๗๒)ราชวงศ์สุโขทัย
พระอาทิตยวงศ์ (พ.ศ.
๒๑๗๒)ราชวงศ์สุโขทัย สิ้นราชวงศ์
หลังจากสิ้น พระอาทิตยวงศ์ ขุนนางผู้มีอำนาจพร้อมด้วย
กำลังบ่าวไพร่ในสังกัด ซึ่งยุวกษัตริย์ มีความจำเป็นต้องใช้ขุนนาง
สำเร็จราชการบริหารกิจการเมือง ซึ่งมีอำนาจเสมือนพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ขุนนางผู้ใหญ่จึงมีความคิด
ที่จะตั้งตนเป็นต้นราชวงศ์ใหม่ โดยเจ้าพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์
ปราบดาภิเษกครองราชย์ในปี พ.ศ.๒๑๗๒
สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร( พระเจ้าปราสาททอง) (พ.ศ.
๒๑๗๒-๒๑๙๙) ต้นราชวงศ์ปราสาททอง
สมเด็จเจ้าฟ้าไชย (พ.ศ.
๒๑๙๙)ราชวงศ์ปราสาททอง
สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ.
๒๑๙๙)ราชวงศ์ปราสาททอง
สมเด็จพระบรมราชาธิราชธิบดีศรีสรรเพชญ
บรมมหาจักรพรรดิศวรราชาธิราชราเมศวร ธรรมธราธิบดี (พระนารายณ์) (พ.ศ.
๒๑๙๙-๒๒๓๑)ราชวงศ์ปราสาททอง
เมื่อพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์ สามารถปราบดาภิเษกตั้งราชวงศ์
ซึ่งเป็นที่รับทราบกันทั่วกรุง ดังนั้นในแต่ละรัชกาลต่อมาพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์จึงมีความหวาดระแวงขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองคนในแผ่นดินคือเจ้าพระยากลาโหม
และสมุหนายกจึงมีการออกกฏหมายแบ่งแยกอำนาจเพื่อจำกัดกำลังและอำนาจของขุนนางถึงกระนั้น
พระยากลาโหมทองคำก็สามารถที่ทำการปราบดาภิเษกขึ้นได้อีกครั้ง ในปีพ.ศ.๒๒๓๑
๖๔
สมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดมบรมจักรพรรดิ(พระเพทราชา) (พ.ศ.๒๒๓๑-๒๒๔๖)
ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง(ถิ่นกำเนิดบ้านพลูหลวงเมืองสุพรรณ)
สมเด็จพระสรรเพชญ์ (พระเจ้าเสือ) (พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๑)ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระสรรเพชญ์ (พระเจ้าท้ายสระ) (พ.ศ.
๒๒๕๑-๒๒๗๕)ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุธรรมราชบรมจักรพรรดิศวรบรมบพิตร(พระเจ้าบรมโกษ) (พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๐๑)
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) (พ.ศ.
๒๓๐๑)ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระบรมราชามหาอดิศรบวรสุจริตทศพิธธรรมธเรศรโลกเชษฐนายกอุดมบรมนาถบพิตร (พระเจ้าเอกทัศ) (พ.ศ.
๒๓๐๑-๒๓๑๐)ราชวงศ์บ้านพลูหลวง สิ้นราชวงศ์ ความเป็นอาณาจักรถูกกษัตริย์อังวะทำลาย
พระมหากษัตริย์นั้นเป็นศูนย์อำนาจของอาณาจักรการสืบต่อราชบัลลังค์เป็นการสืบต่อจากเชื้อสายของพระมหากษัตริย์
แบ่งแยกหน้าที่ระหว่างราษฏร ขุนนาง ราชวงศ์
ดังนั้นการปกครองและอำนาจทางทหารจึงมีความเข้มแข็งแต่หลังจากสิ้นราชวงศ์สุโขทัยขุนนางที่ไม่มีเชื้อพระวงศ์สามารถกุมอำนาจการทหารแล้วยึดอำนาจการปกครองของราชวงศ์และสถาปนาราชวงศ์ขึ้นเองคือราชวงศ์ปราสาททอง
และราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทำให้เหล่าขุนนางที่มีไพร่พลมาก
และมีทรัพย์สินมากคิดเสมอว่า
สามารถตั้งตนเป็นกษัตริย์ได้ไม่จำเป็นต้องสืบต่อจากราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ทำให้พระยากลาโหมเป็นที่หวาดระแวงว่าจะรัฐประหารตลอดเวลา
ดังนั้นเกือบทุกรัชกาลมักมีการชิงอำนาจเพื่อปราบดาเป็นพระมหากษัตริย์
และการตั้งไพร่เชื้อสายขุนนางที่รัฐประหารขึ้นเป็นขุนนางทำให้ไม่สามารถเข้ากับขุนนางเก่าได้และการรัฐประหารยัง
เป็นเหตุให้ต้องกำจัดทั้งสมาชิกราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายตรงข้ามทำให้บ้านเมืองอ่อนแอขาดคนดีมีฝีมือ
ขุนนางเลือกข้าง เป็นสาเหตุหลักทำให้เสียเอกราชกับอังวะในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘)ราชวงศ์สุโขทัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น