ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สามมหาราชตอนที่ ๖



    
                                                                                   ตอนที่ ๖ พุทธอาณาจักรที่รุ่งโรจน์

                        ในอาณาจักร  ทั้งราชสำนัก และประชาชนของกรุงศรีอโยธยา รับพุทธศาสนามาครั้งรัชกาลก่อนๆของอโยธยาโดยสืบทอดพุทธมาครั้งขอม ทราวดี แต่ด้วยอิทธิพลฮินดูของดินเดียที่เข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิและขอมรับศาสนาฮินดูไว้ประจำอาณาจักรโดยราชสำนักขอมก่อสร้างศาสนสถานฮินดูไว้มากมาย จนถึงยุคอโศกมหาราชา อินเดียเข้ามาค้าขายยังดินแดนอุษาคเนย์และได้นำพุทธมาเผยแพร่ความเชื่อทางฮินดูราชสำนักขอมจึงเปลี่ยน  แปลงไป เป็นพุทธแต่ก็ยังหลงเหลือทั้งคติพระมหากษัตริย์คือสมมุติเทพเป็นพระนารายณ์อวตาร    การพูดในราชสำนัก  ใช้ราชาศัพท์ยังคงยึดถือภาษาเขมรและยึดถือมาจนถึงวันนี้ ส่วนการประกอบพิธีในราชสำนักก็ใช้พราหม์และพระสงฆ์   จึงเป็นพุทธแบบผสมผสานทั้งสามศาสนายิ่งไปกว่านั้นประชาชนโดยทั่วไปก็ยังนับถือผี ของบรรพบุรุษผสมผสานเข้าไปอีกด้วยดังนั้นกรุงศรีอโยธยาจึงมีการสร้างวัดพุทธขึ้นมากมายทั้งกรุงมากกว่าร้อยวัดถึง ห้าร้อยวัด ทั้งวัดของพระมหากษัตริย์ ของราชวงศ์ ของขุนนางชุมชนที่มีชาวมอญอาศัยอยู่ แต่ละวัดก็จะมีเสาหงส์ตั้งอยู่หน้าวัดพิเศษกว่าวัดทั่วไป แต่คติการสร้างวัดก็ยังอิงคติฮินดู คือความเชื่อฮินดูมีเขาพระสุเมรุที่ประทับของพระอิศวรเป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่วัดพุทธมีพระธาตุ เจดีย์ ที่ประดิษฐานพระธาตุของพระพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลาง มีวิหารเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระสังฆราชาที่ต้องใช้ราชาศัพท์คล้ายคลึงกับพระมหากษัตริย์นอกจากนี้เมืองยังมีเสาหลักเมืองเป็นศูนย์กลางเมือง มีศาลพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง คติดังนี้พุทธศาสนามิได้มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนแต่อย่างใดเป็นการผสมผสานอย่างกลมกลืนด้านศาสนาฮินดู  และพราหม์ ส่วนพุทธแบบเถรวาทที่จีนนับถือก็เช่นเดียวกันมีวัดที่เกี่ยวพันแบบจีนเกิดในกรุงศรีอโยธยาเช่นวัดพนัญเชิงเป็นต้น นอกจากพุทธศาสนาแล้วถ้าไม่กล่าวถึงศาสนาอื่นๆในกรุงศรีอโยธยา คงได้ภาพได้เรื่องราวไม่สมบูรณ์ เพราะทั้งศาสนาคริสต์ และอิสลามล้วนอยู่คู่กับแผ่นดินนี้มาเช่นเดียวกับ พุทธ พราหม์และฮินดู ด้วยความที่อโยธยาเป็นเมืองท่าชั้นแนวหน้าในสมัยนั้นทั้ง ชาวเปอร์เซีย ชาวมลายู ชาวชวา พวกเขาเหล่านี้เป็นมุสลิมชาวแขก อินเดีย เป็นฮินดู   ส่วนโปรตุเกสเป็นตริสต์ ญี่ปุ่นเป็นพุทธมหายานชาวต่างชาติต่างศาสนาเหล่านี้ล้วนจากถิ่นฐาน เข้ามาค้าขายจนได้สนิทแนบแน่นกับราชสำนักจนมีถิ่นพำนักอยู่ในกำแพงพระนครบ้าง ฝั่งแม่น้ำตรงข้ามบ้าง ดังนั้นหมู่บ้านของชนชาวเหล่านี้ล้วนมีที่ปรกอบกิจทางศาสนาทั้งสิ้น ตามท่าเรือสำเภาที่มาจากเปอร์เซียบ้าง ตามรายทางแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที่บางเกาะ ธนบุรี ตลาดขวัญ จึงมีมัสยิสตั้งอยู่หลายแห่งเพื่อประกอบกิจทางศาสนาของมุสลิมที่ละหมาดวันละหลายเวลาเมื่อต้องล่องเรือผ่านเวลาต้องประกอบพิธีละหมาดก็จะแวะมัสยิสเหล่านั้น ส่วนในกำแพงพระนครมีมัสยิสที่เรียกว่ากุฎีทอง ส่วน


                                                                                      ๔๘
นอกกำแพงพระนครก็ยังมีอีกหลายมัสยิสเช่นมัสยิสปากคลองตะเคียนเป็นต้น      มีการตั้งตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้น     เพื่อเป็นผู้นำสูงสุดในพิธีละหมาด    พี่น้องมุสลิมจากที่มาจากดินแดนต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็น
ประชากรที่สำคัญส่วนหนึ่งของกรุงศรีอโยธยา มีส่วนรบทัพจับศึกยามสงครามเป็นทั้งทหารผู้เก่งกล้าเรียกว่าอาสาจาม และสืบต่อลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้
พลเมืองอโยธยาส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดล้วนนับถือพุทธศาสนา ดังนั้นวัดจึง เป็นส่วนหนึ่งของเมือง ของชุมชน และของพระราชวัง พระมหากษัตริย์เป็นผู้รับพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำราชสำนัก ราชอาณาจักร แม้ราชพิธีต่างๆจะเป็นพิธีพราหมมีราชครูเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมของราชสำนัก           แต่ในการสถาปนาราชวงศ์การขึ้นครองราชย์เป็น พระมหากษัตริย์ก็ยังถือคติพระมหากษัตริย์นั้นเป็นสมมุติเทพอย่างศาสนาฮินดูตามอิทธิพลของขอมชนชาติผู้ปกครองเก่าแก่ในคาบสมุทรอินเดียที่รับคตินี้มาจากอินเดีย โดยพระนามของพระมหากษัตริย์จึงรวมทั้งพุทธศาสนาและฮินดูเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ พระรามาธิบดี พระบรมไตยโลกนาถ พระบรมราชา พระนารายณ์ พระอินทร์เป็นต้น ราชสำนักนั้นจำเป็นต้องใช้วัดประจำพระบรมมหาราชวังเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ ของพระมหากษัตริย์เนื่องในวโรกาสสำคัญต่างๆ ดังนั้นจึงโปรดให้สร้างวัดขึ้นประจำพระราชวัง ส่วนวัดหลวงอื่นๆเป็นการสร้างเพื่อโอกาสที่สำคัญต่างๆและถวายเป็นพระราชกุศล นอกจากนั้นเป็นวัดราษฎร์ที่ขุนนางผู้ใหญ่เป็นผู้สร้าง และชุมชนร่วมกันสร้างเป็นวัดประจำชุมชนในการประกอบพิธีทำบุญต่างๆการสร้างวัดเป็นการแสดงออกถึงความมีใจบุญ มีอำนาจ และบารมีดังนั้น ในพระนครจึงมีวัดมากมายถึง ๕๐๐วัด แบบสถาปัตย์ และรูปลักษณะของวัดนั้น คล้ายกับวังและคล้ายที่ประทับของเทพ องค์ประกอบของวัดมีดังนี้ อุโบสถมีพระพุทธรูปอันเป็นพระประธานเพื่อสงฆ์ประกอบพิธีในหมู่สงฆ์ เป็นเขตพุทธาวาส วิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นตามความเชื่อความศรัทธาเสมือนที่ประทับของทวยเทพ  กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง ใบเสมากำหนดเขตพระอุโบสถ สถูป เจดีย์ พระปรางค์เป็นประธานเสมือนเขาพระสุเมร กำแพงล้อมบริเวณพุทธาวาส สังฆาวาส วัสดุที่ใช้ก่อสร้างวัดส่วนใหญ่ใช้วัตถุนิยมในสมัยนั้นได้แก่ฐานเป็นอิฐฉาบปูนส่วนอาคารเสา เครื่องบนเป็นไม้หลังคากระเบื้องดินเผา การก่อฐานย่อมุมตามศิลปร่วมสมัยขณะนั้น ทำให้การค้นคว้า วัดเก่า เจดีย์เก่าในสมัยต่อๆมาสามารถบ่งชี้ได้ว่าใครสร้าง สมัยใด ศิลปะแบบใด วัดเป็นทั้งแหล่งวิชาความรู้กับชุมชนที่มีขุนนางเป็นผู้นำชุมชนการอ่าน เขียนตัวหนังสือไทยกำเนิดที่วัด นอกจากราชวงศ์ที่เกิดในวัง การไปวัดทำบุญของคนในชุมชนส่วนมากแต่ละวัดมีขุนนางและบ่าวไพร่ในเรือนและพ่อค้าวานิชเป็นโยมอุปถาก พลเมืองที่ไม่มีเจ้านายเลี้ยงดูมักไม่ค่อยไปทำบุญ นอกจากเทศกาลสำคัญเรามักเห็นว่าบางชุมชนมีวัดถึง๒วัดอยู่ใกล้แบบหันหน้าวัดชนกันมากมาย ก็เพราะเป็นวัดประจำตระกูลขุนนางที่มีเจ้านายแต่ละองค์หรือขุนนางแต่ละตระกูลพาบ่าวไพร่ของตนไปทำบุญตักบาตรที่สำคัญประเพณีสงกรานต์ตามแบบมอญ ที่มีการบังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษโกศเถ้ากระดูกของตระกูลขุนนางและครัวเศรษฐีผู้เป็นญาติของขุนนางทำอาชีพเป็นพ่อค้าวานิชจะตั้งโกศเป็นหมู่

                                                                                    ๔๙
ใหญ่โตรอพระสงฆ์ชักผ้าบังสุกุล ชาวบ้านที่ไม่ได้ทำราชการไม่มีพระยาเลี้ยงจะมีเพียงห่อผ้าขาวของบรรพบุรุษไม่อาจทัดเทียมนี่เป็นอีกสาเหตุที่การทำบุญที่วัดขุนนางสร้าง ชาวบ้านทั่วไปมักไม่ค่อยไป คงใช้วิธีใส่บาตรที่ท่า
น้ำหน้าเรือนหรือริมทางเดินในเมือง และไปวัดราษฏร์ การทำบุญในวันพระและเทศกาลที่มักใช้ลานวัดเป็นที่เล่นสนุกทั้งเด็กและหนุ่มสาวเป็นที่รวมพบปะของคนในชุมชนทั้งชาวมอญชาวเขมรและลาวในพระนครมีประเพณีสงกรานต์ ส่วนคนที่มาจากเมืองศรีธรรมราชก็นำประเพณีไหว้ผีในเดือนสิบเรียกว่าวันสาทร์ ส่วนชายวัยหนุ่มที่เตรียมพร้อมมีครอบครัวมีความเป็นอยู่สนุกสนานทั้งนายทั้งไพร่ทั้งทาสเมื่อยามไม่มีศึกสงครามและไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน แต่ความรู้หนังสือ รู้หลักธรรมนำชีวิต มารยาทการวางตนร่วมสังคมยังไม่เจน ดีพอชาวต่างชาติที่พูดคุยด้วยมักสบประมาทว่าเป็นคนไร้อารยะธรรม ก็ด้วยชนชั้นความเป็นอยู่ ทั้งภาพลักษณ์เครื่องนุ่งห่มชายมักเปลือยท่อนบนด้วยเป็นคนน้ำมีแม่น้ำลำคลองทั่วทั้งแผ่นดินการอาบน้ำของชายหนุ่มยังมีการเปลือยกายเป็นที่ขบขัน อุจาดตาของชาวต่างชาติ พวกเปอร์เซียจึงเรียกขานหนุ่มที่เจอะเจอทำกริยาเยี่ยงนี้ว่า เน็คหรือ นาค (พวกชีเปลือย )ซึ่งเป็นคนพวกหนึ่งที่อาศัยบนเกาะในมหาสมุทรอินเดียที่พวกเขาเดินเรือผ่านแล้วพบเห็น    ครั้นคบหากันไปนายนาคเหล่านั้นได้ทำพิธีโกนหัวบวชพระในพุทธศาสนากริยาหยาบกระด้างหมดไปมีความรู้หนังสือเลยเรียกว่าบวช นาคพอสึกจากพระมีความรู้ศีลธรรมจึงเรียกบัณฑิตผิดเพี้ยนมาเป็นทิด(ยังไม่มีโรงเรียน และมหาวิยาลัยการได้เรียนในวัดถือว่าเป็นบัณฑิตแล้ว) ดังนั้นจึงเป็นประเพณีนิยมที่ชายอโยธยาที่อายุครบบวชจะต้องการมีครอบครัวต้องบวชนาคเสียก่อนหากเป็นเจ้านายก่อนเข้ารับราชการก็ต้องบวชเสียก่อนไพร่บางคนหนีการเกณฑ์ทหารเข้าทัพหรือเกณฑ์แรงงานมักไม่สึกจากพระจำนวนพระสงฆ์จึงมีมากในแต่ละวัด วัดที่สำคัญๆของกรุงศรีอโยธยาศรีรามเทพนครที่ขอกล่าวถึง ได้แก่
                วัดพระศรีสรรเพชญ เดิมทีเป็นวัง ที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางตอนเหนือ แล้วจึงโปรดฯให้ยกเป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำ พรรษา แตกต่างกับวัดมหาธาตุ ที่มีพระสงฆ์จำพรรษา ทั้งวัดมหาธาตุ วัดพระศรีสรรเพชญ ต่างก็ถูกสถาปนาขึ้น เพื่อเป็นวัดประจำพระราชวัง (วัดพระศรีสรรเพชรคือวัดพระแก้วของกรุงศรีอโยธยา)
               วัดสุวรรณดาราราม ตั้งอยู่ริมป้อมเพชรชื่อว่าวัดทอง เป็นวัดของฝ่ายวังหน้า ตั้งอยู่ในกำแพงกรุงศรีอยุธยาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ริมป้อม เพชร เป็นวัดที่ขุนนางวังหน้าสร้างไว้ในย่านเรือนอาศัยของตระกูลต่อมาลูกหลานได้ปราบดาภิเษกจึงได้รับการบูรณะใหม่
               วัดชุมพลนิกายาราม สร้างโดย พระเจ้าปราสาททอง ตรงบริเวณที่เป็นเคหสถานเดิมของพระราชชนนีของพระองค์
                 

                                                                                       ๕๐
                   วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอโยธยา พระเจ้าสายน้ำผึ้งกษัตริย์อโยธยาเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิงตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งตรงข้ามคูขื่อหน้า ก่อนสร้างกรุงคูขื่อหน้าคือลำคลองสายเล็กๆอีกด้านติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นชุมชนชาวจีนที่มาค้าขายนานวันจึงเป้นประชากรส่วนหนึ่งของกรุงศรีอโยธยา
                    วัดบรมวงศ์อิศรวราราม เดิมชื่อ วัดทะเลหญ้า(เข้าใจเอาว่าบริเวณที่สร้างวัดเป็นดงกอพงแขมอ้อยช้าง) เป็นวัดโบราณตั้งอยู่ริมคลองใกล้Œกับเพนียดคล้องช้าง พวกกรมพระคชบาล(เป็นเจ้านายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งดำรงตำแหน่งเจ้ากรมคชบาลเป็นผู้สร้างขึ้น)อยู่ด้านเหนือนอกกำแพงพระนคร
                    วัดกษัตรา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางเกาะ นอกพระนครทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับวังหลังหรือวังสวนหลวง มีพระปรางค์เป็นประธานของวัด
                    วัดตูม ตั้งอยู่ริมถนนสายประตูชัยซึ่งแต่เดิมคือริมกำแพงพระนครติดแม่น้ำลพบุรีหรือคลองเมืองส่วนถนนในปัจจุบันสร้างทับกำแพงเมือง วัดตูมเป็นวัดที่สร้างขึ้นสำหรับลงเครื่องพิชัยสงครามในพระอุโบสถ แบบมหาอุต คือมีแต่ประตูด้านหน้าวัดนี้เป็นวัดประจำวังที่ประทับของขุนหลวงสรศักดิ์(พระเจ้าเสือ)ขณะเป็นอุปราชรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา
                       วัดพุทไธศวรรย์เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงวัดหนึ่ง   พระเจ้าอู่ทองสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นบริเวณที่ตรงนี้มีชื่อเรียกว่าเวียง(ภาษาลาวแปลว่าเมือง บ่งบอกถึงชุมชนที่ตามเสด็จท้าวอู่ทองเหล็ก เป็นวังที่ประทับของพระเจ้าอู่ทองขณะครองราชย์ซึ่งกษัตริย์พระองค์ก่อนๆประทับที่วังบริเวณวัดอโยธยา ก่อนย้ายมืองใหม่ไปยังหนองโสนบริเวณวัดธรรมมิกราชครองราชย์ อโยธยาท้าวอู่ทองได้ดำหริสร้างกรุงใหม่บริเวณหนองโสนจึงมาสร้างวังที่ประทับที่เวียงเล็กแห่งนี้  โดยใช้ที่แห่งนี้เป็นศูนย์อำนวยการสร้างอโยธยาที่หนองโสนบริเวณซึ่งเป็นเมืองเก่า ครั้นเมื่อสร้างเมืองสร้างวังที่ประทับเสร็จก็ย้ายไปประทับที่พระราชวังฝั่งหนองโสนแล้วจึงทรงสร้างวัดขึ้นเป็นอนุสรณ์ ณ ที่เวียงเล็กแห่งนี้  ต่อมาเป็นที่เล่าเรียนประจำพระนครของเหล่าลูกขุนนาง และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย 
                    วัดหน้าพระเมรุ   พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ รัชกาลที่ ๑๐แห่งกรุงศรีอโยธยา ทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๐๔๖ประทานนามว่าวัดพระเมรุราชิการาม ส่วนมากนิยมเรียกว่า วัดพระเมรุ จึงเป็นนามของวัดที่ใช้มาจนทุกวันนี้ เป็นวัดมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์กรุงศรีอโยธยาเนื่อจากเคยเป็นวัดที่หงสาวดีและอังวะใช้ตั้งฐานบัญชาการจึงเป็นวัดเดียวในกรุงศรีอโยธยาที่ไม่ได้ถูกหงสาวดีทำลายเหตุการณ์คราวทำสัญญาสงบศึกระหว่างสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง มีการปลูกพลับพลาเป็นที่ประทับซึ่งอยู่ด้านหน้าวัดพระเมรุกับวัดหัสดาวาส (ปัจจุบันวัดหัสดาวาสเหลือเพียงซากเจดีย์)อีกคราวหนึ่งครั้งสมเด็จพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำพ.ศ ๒๓๐๓ อังวะ เอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิ

                                                                                     ๕๑
การามกับวัดหัสดาวาส พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการาม  แตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัส ประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๐๓พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านแม่ละเมา ระหว่างทางยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอังวะอลองพญาก็สิ้นพระชนม์
                            วัดใหญ่ชัยมงคล (วัดเจ้าแก้ว)เป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งอยู่ริมฝั่งคลองหันตรา สร้างขึ้นครั้งเป็นเมืองอโยธยาก่อนการสร้างพระนครในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๑๙๐๐สมเด็จพระเจ้าอู่ทองได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ขุดศพเจ้าแก้ว ซึ่งทิวงคตด้วยอหิวาตกโรคขึ้นมาเผา ที่ปลงศพนั้นโปรดให้สถาปนาเป็นพระอาราม  การปฎิสังขรณ์เจดีย์ประธานวัด มีขึ้นในสมัยพระนารายณ์ โดยใช้เทคนิคการเรียงอิฐของช่างเปอร์เซียสร้างเจดีย์ใหญ่ครอบจึงเป็นที่มาของชื่อวัดใหญ่ชัยมงคล
                      วัดมเหยงคณ์ สร้างขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา)เมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ ลักษณะทางศิลปกรรมของเจดีย์ทรงระฆังที่มีรูปช้างรอบฐาน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับแบบอย่างในเจดีย์ช้างล้อมในศิลปะสุโขทัย ครั้นพ.ศ. ๒๒๕๒ ในแผ่นดินของพระเจ้าท้ายสระ มีการปฎิสังขรณ์ครั้งใหญ่ที่วัดนี้ พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการปฎิสังขรณ์นั้นเนืองๆ รวมทั้งโปรดมาประทับตำหนักสองชั้นซึ่งอยู่ด้านใต้นอกกำแพงวัด ทรงเบ็ดในฤดูน้ำหลาก
                            วัดกุฏีดาว ฝีมือการสร้างงดงามยิ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสร้างพระนครและได้รับการบูรณะปรับปรุงเรื่อยมา เจดีย์ขนาดใหญ่อันเป็นประธานของวัด เป็นเสมือนวัดคู่แฝดกับวัดมเหยงคณ์ เพราะต่างก็ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ วัดมเหยงคณ์ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของวัดกุฎีดาวนั้นบูรณะโดยกษัตริย์ ส่วนวัดกุฎีดาวบูรณะโดยพระอนุชาซึ่งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช หรือวังหน้า และได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา คือ พระเจ้าบรมโกษ
                        วัดราชบูรณะ สร้างขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒หรือ เจ้าสามพระยา ในปี พ.ศ. ๑๙๖๗เพื่ออุทิศให้พระเชษฐาคือภายหลังจากสมเด็จพระนครินทราธิราชาสวรรคตพระราชโอรสองค์ใหญ่สองพระองค์ คือเจ้าอ้ายพระยา ครองเมืองสุพรรณบุรีและเจ้ายี่พระยาครองเมืองสรรค์บุรี สองพระองค์เสด็จลงมาชิงพระราชสมบัติ ต่างทรงช้างเคลื่อนพลมาปะทะกัน ทรงพระแสงของ้าวต้องพระศอขาดสิ้นพระชนม์พร้อมกัน เจ้าสามพระยาพระอนุชาทรงเป็นโอรสองค์ที่สาม จึงเสด็จลงมาจากชัยนาทได้เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชเมื่อเจ้าสามพระยาทรงขึ้นครองราชย์แล้ว จึงจัดการถวายเพลิงพระศพ พระเชษฐาธิราชทั้งสองพระองค์พร้อมกัน สถานที่ที่ถวายพระเพลิงนั้น ก็ทรงอุทิศสร้างพระปรางค์และพระวิหารมีนามว่า เจดีย์เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา  ที่องค์พระปรางค์สร้างเป็นกรุมหาสมบัติ มี ๒ตอน คือตอนที่เป็นเรือนธาตุ และตอนกลางองค์พระปรางค์กรุชั้นบนสูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๕เมตร  มีลักษณะเป็นกรุสี่เหสี่ยมจัตุรัส

                                                                                        ๕๒
ขนาดกว้างด้านละ ๔ เมตร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนต้นมีภาพเทพชุมนุมลอยอยู่บางองค์มีดอกไม้เป็นก้านชูออกไปข้างหน้า ลวดลายเครื่องประดับต่างๆมีลักษณะแบบศิลปะสุโขทัย และมีรูปกษัตริย์ หรือนักรบจีนองค์หนึ่งสวมชุดเขียวองค์หนึ่งสวมชุดขาว และอีกองค์สวมชุดแดง ภาพแสดงเป็นเรื่องราวกรุชั้นล่างอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตรเศษ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ๑.๒เมตร สูง ๒.๖๕ เมตร ฝาผนังกรุชั้นล่างเจาะลึกเข้าไปแบ่งเป็นช่องคูหาทั้ง๔ด้าน เพดานเขียนลายดาวตรงกลางล้อมรอบด้วยลายและเขียนกรอบด้วยเส้นลวด เขียนเป็นลายเส้นดอกไม้สีแดงปิดทองเป็นวงกลมๆ ผนังเหนือซุ้มคูหาแบ่งเป็น ๔ ชั้นชั้นบนเขียนรูปพระพุทธรูปสลับกับสาวกผนังซุ้มคูหาเขียนภาพชาดกในพระพุทธศาสนานับได้ ๖๐ชาติมีภาพพระโพธิสัตว์ในชาดกต่างๆนั้นมีภาพที่พอเห็นชัดคือภาพโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกกวาง ช้าง กาเผือก คนขี่ม้า นกเขา สุนัข และหงส์ ภายในห้องกรุชั้นนี้ เป็นสถานที่เก็บสมบัติและของมีค่าไว้มากมายเมื่อกรุงใกล้แตกพระเจ้าเอกทัศน์จึงมีบัญชาให้ราชองค์รักษ์ให้นำ อาทิ พระแสงขันธ์ มหามงกุฎ และมงกุฏราชินี เสื้อทองคำ และพระพุทธรูปต่างๆ พระแก้ว พระทองคำ พระนาก เป็นต้น ไปเก็บซ่อนไว้ไม่ให้ตกถึงมือพม่าหากรักษากรุงไว้ไม่ได้
                       วัดมหาธาตุ เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในกรุงศรีอโยธยา เพราะนอกจากเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุกลางเมืองแล้ว ยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสี(ต้นกำเหนิดนิกายธรรมยุตในปัจจุบัน)อีกด้วยวัดแห่งนี้จึงได้รับการก่อสร้าง และ ดูแลตลอดเวลาวัดมหาธาตุนี้ได้ริเริ่มสร้างองค์พระปรางค์มหาธาตุขึ้นในแผ่นดินสมเด็จบรมราชาธิราชที่ ๑(ขุนหลวงพระงั่ว) แต่อาจจะยังไม่สำเร็จในรัชกาลของพระองค์ จนถึงรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราชจึงทรงสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จบริบูรณ์เป็นพระอาราม แล้วขนานนามว่าวัดมหาธาตุในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓-๒๑๗๑)พระปรางค์เคยพังลงมาเกือบครึ่งองค์ถึงชั้นครุฑ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงบูรณะใหม่โดยเสริมพระมหาธาตุให้สูงยิ่งขึ้น รวมเป็นความสูง ๒๕ เมตร
                         วัดธรรมิกราช เดิมชื่อวัดมุขราช ตั้งอยู่ด้านหน้าพระราชวังหลวง วัดนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าธรรมมิกราชกษัตริย์อโยธยา เป็นวัดประจำพระราชวังของพระเจ้าธรรมมิกราช และยังคงเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อมาจนถึงช่วงท้าวอู่ทองมายึดอำนาจอโยธยาจึงสร้างวังขึ้นชั่วคราวที่เวียงเล็กจึงใช้พระราชวังเป็นวัดทั้งหมด               
                    วัดมงคลบพิตร วิหารพระมงคลบพิตร ถ้าตามพระราพงศาวดารฯบริเวณที่ตั้งวิหารนี้เคยเป็นวัดในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเพราะระบุว่าโปรดอัญเชิญพระพุทธรูปขนาดใหญ่
นามว่า “มงคลบพิตร” มาจากพื้นที่ทางตะวันออกต่อจากนั้นก็ทรงก่อมณฑปครอบครั้นถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โปรดเกล้าให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระมงคลบพิตรขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยโปรดให้ทำบัวหงาย

                                                                                       ๕๓
คั่นระหว่างพระเกตุมาลากับพระรัศมีส่วนพระวิหารนั้นก็โปรดให้รื้อเครื่องบนออก แล้วก่อหลังคาให้เหมือนกับพระวิหารโดยทั่วไป
                       วัดพระราม ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวังไปทางด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับวัดมงคลบพิตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระราเมศวรซึ่งเป็นบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑(พระเจ้าอู่ทอง) พระราชบิดาโดยสร้างพระธาตุตรงบริเวณที่ถวายพระเพลิงและสร้างวิหารขึ้นเป็นวัดพระราชทานนามวัดว่าวัดพระราม
                    วัดพิชัย ตั้งอยู่ ริมแม่น้ำป่าสัก สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๒๙๐๐ พระยาวชิรปราการหรือพระยาตากได้ใช้ตั้งค่ายเผชิญอังวะ จนได้รับบัญชาจากพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ให้รวบรวมผู้คนในหัวเมืองตะวันออกเพื่อมาเป็นทัพเข้าตีขนาบทัพพม่า จึงได้นำทหารตีฝ่าวงล้อมข้าศึก ออกจากวัดพิชัยไปยังบางปลาสร้อย ระยองและจันทบูร
                       วัดโลกยสุธารามสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลางตั้งอยู่ที่ประตูชัย อยู่ทางด้านหลังพระราชวังหลวง วัดนี้มีพระพุทธไสยาสน์ ปางไสยาสน์ลักษณะสมัยอโยธยาตอนกลาง ก่ออิฐถือปูน พระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ ที่พระเศียรมีดอกบัวรองรับ พระบาทซ้อนกันเป็นมุมฉาก นิ้วพระบาทยาวเท่ากัน มีความยาว ๔๒ เมตร และสูง ๘ เมตร                                  
                         วัดวรเชษฐ์ เป็นพระอารามหลวงเก่า ที่ตั้งอยู่ภายในพระนคร โดยอยู่ระหว่างวัดโลกยสุธาราม และวัดวรโพธิ์ สร้างขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระเชษฐา ที่ได้สวรรคตลงขณะยกทัพไปเมืองตองอู ซึ่งเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเชษฐาโดยได้บรรจุผอบพระบรมอัฐิพระเชษฐาของพระองค์พร้อมพระพุทธรูป นาคปรกไว้ภายในเจดีย์ประธานวัดวรเชษฐารามนี้
                         วัดวรเชษฐาราม หรือวัดป่าแก้ว(ส่วนวัดใหญ่ชัยมงคลชื่อคล้ายกันคือวัดเจ้าแก้ว)ตั้งอยู่ทุ่งวรเชษฐ์ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่นอกกำแพงพระนคร เป็นเส้นทางเดินทางไปเมืองสุพรรณเป็นป่าต้นแก้ว ที่สงบสงัด เป็นวัดอรัญวาสีเป็นคณะป่าแก้วเป็นที่ประทับของสังฆราช อรัญวาสีกาลต่อมาคณะสงฆ์ของวัดป่าแก้วได้เดินทางไปเล่าเรียน จากวัดรัตนมหาเถระ อาณาจักรลังกา คณะสงฆ์นี้ได้เป็นที่เคารพเลื่อมใสแก่ชาวกรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ทำให้ผู้คนต่างมาบวชเรียนที่วัดป่าแก้วกันมากวัดนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชด้วยอยู่นอกเมืองสงัดเงียบดังนั้นอุโบสถของวัดเคยเป็นที่ซึ่งเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มาประชุมเสี่ยงเทียนอธิษฐาน เพื่อคิดกำจัดขุนวรวงศาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์ จนได้รับผลสำเร็จ จึงอัญเชิญพระเฑียรราชาลาผนวช ขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิต่อมาในรัชกาลของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้มีเหตุการณ์ที่ต้องสำเร็จโทษ พระสังฆราชวัดป่าแก้วไป ด้วยฐานความผิดฝักใฝ่ให้ฤกษ์ยามแก่ฝ่าย
                                                                                  ๕๔
กบฎพระศรีศิลป์ ครั้นถึงพ.ศ. ๒๑๓๕ ในแผ่นดินของพระนเรศวรมหาราชมีการปฎิสังขรณ์เจดีย์ประธานวัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศของพระองค์ที่ได้ชัยชนะพระมหาอุปราชแห่งหงสาวดีสมเด็จพระเอกาทศรถทรงราชาภิเษก  ขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอโยธยา  เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ ทรงบูรณะวัดวรเชษฐารามเป็นวัดประจำพระองค์เสด็จปฏิบัติธรรม  มีวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมาอันงดงาม มหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  พร้อมกุฎิสงฆ์และกำแพงแก้ว  สร้างหอพระไตรปิฏก และสร้างพระไตรปิฏกธรรมจนจบบริบูรณ์  เสร็จสิ้นแล้วก็นิมนต์พระสงฆ์อรัญวาสีผู้ทรงศีลาธิคุณอันวิเศษมาอยู่ครองพระวรเชษฐาราม ทรงแต่งตั้งขุน,หมื่น,ข้าหลวงไว้สำหรับอารามนั้น แล้วพระราชทานทรัพย์ไว้ให้จัดทำจตุปัจจัยไทยทานถวายแก่พระสงฆ์เป็นนิจกาล พระองค์ยังให้ตั้งทานศาลา  แล้วประทานพระราชทรัพย์  ให้ทำอาหารถวายแก่ภิกษุสงฆ์เป็นประจำมิได้ขาด 
                            วัดภูเขาทองสมเด็จพระราเมศวร โปรดเกล้าให้สร้างขึ้น ต่อมา รัชสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดี ได้ยกทัพเข้ามาตีกรุงศรีอโยธยาได้สำเร็จ ได้มีการสร้างเจดีย์รูปแบบมอญไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อมารัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ทำการบูรณะเจดีย์ใหม่ เนื่องจากเจดีย์องค์เดิมได้พังทลายลงมาเหลือเพียงฐาน โดยเปลี่ยนรูปแบบเจดีย์เป็นแบบย่อมุมไม้สิบสอง ส่วนฐานนั้นเป็นรูปแบบมอญดังเดิม
                       วัดไชยวัฒนาราม สร้างขึ้นในรัชสมัย พระเจ้าปราสาททอง เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระราชมารดา ในบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระราชมารดา เมื่ออโยธยามีชัยชนะอาณาจักรเขมรได้นำ สถาปัตยกรรมศิลปะขอมมาผสมผสาน ตามคติเขาพระสุเมรุศูนย์กลางจักรวาล ด้วยการจำลองแบบจากนครวัธ โดยมีลักษณะปรางค์แบบสมัยอยุธยาตอนต้น ครั้งวัยเยาว์พระเจ้าปราสาททองได้อาศัยที่นิวาสสถานตรงสร้างวัดนี้เมื่อมองฝั่งแม่น้ำตรงข้ามเป็นกำแพงเมืองปราสาทราชวัง แล้วพระองค์ก็ได้เข้ามารับราชการเป็นมหาดเล็กอยู่ในพระมหาราชวังรับราชการเจริญก้าวหน้าจนเป็นพระยากลาโหมและปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าปราสาททอง  ความสำคัญของวัดไชยวัฒนารามที่มีมาในอดีตได้แก่เป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์เป็นที่ถวายพระเพลิงพระศพพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เป็นที่พำนักของพระราชาคณะฝ่ายอรัญวาสีเป็นที่บรรจุพระอัฐิกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) และเจ้าฟ้าสังวาลย์
                       วัดท่าการ้อง ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำบางกอก เป็นการรวมวัด ๒ วัดเข้าด้วยกัน คือ วัดท่าและวัดการ้อง สร้างขึ้นก่อนราว พ.ศ. ๒๐๙๒ ต่อมาหงสาวดีได้มาตั้งค่ายที่วัดการ้อง เพื่อเข้าตีกรุงศรีอโยธยา ในสมัยพระมหาจักรพรรดิ โดยพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ได้ยกทัพมาตั้งค่ายที่วัดการ้องคราวสงครามช้างเผือก และอีกครั้งคือสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ โดยเนเมียวสีหบดีแม่ทัพตั้งทัพปืนใหญ่ที่วัดท่าระดมยิงเข้าพระนคร


                                                                                          ๕๕
                        วัดบรมพุทธาราม หรือ วัดกระเบื้องเคลือบ เป็นวัดเก่าที่ สมเด็จพระเพทราชา เมื่อครั้งยังรับราชการกรมช้าง โปรด ฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๒๖ ในบริเวณย่านป่าตอง อันเป็นนิวาสเดิม
ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ โดยวัดได้มีฐานะเป็นพระอารามหลวงในเวลาต่อมา อีกทั้งยังเป็นที่จำพรรษาของพระราชาคณะศาสนสถานที่สร้างขึ้นนั้น โปรด ฯ ให้หมื่นจันทรา ช่างเคลือบกระเบื้องสี มุงหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง ทั้งพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ ซึ่งแตกต่างจากวัดอื่น อันเป็นที่มาของนามวัดต่อมารัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ โปรดฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัด และโปรดให้ทำบานประตูพระอุโบสถ ประดับมุก
                        วัดขุนแสน จ.พระนครศรีอยุธยาวัดขุนแสนสร้างขึ้นสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ครั้งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ประกาศอิสระภาพ ณ เมืองแครงนั้น เมื่อเสด็จกลับกรุงศรีอโยธยา ได้มีชาวมอญนําโดยพระมหาเถรคันฉ่อง พระยาเกียรติและพระยาราม ผู้ที่ได้ร่วมทำศึก ติดตามมาด้วย สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้โปรดเกล้าฯ ให้พระมหาเถรคันฉ่องจําพรรษาอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ส่วนพระยาเกียรติและพระยาราม ให้อยู่ ณ ตําบลบ้านขมิ้น ใกล้วัดขุนแสน
                         วัดสมณโกฏฐาราม หรือ วัดพระยาคลัง สร้างยุคต้นๆของการสร้างพระนคร และบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยอโยธยาตอนปลาย โดย เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ และในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ได้เสด็จพระราชทานเพลิงศพเจ้าแม่ดุสิต มารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ ณ วัดแห่งนี้
                                วัดดุสิตาราม สร้างขึ้น ราวปี พ.ศ. ๒๑๐๐ ต่อมาได้มีการบูรณะในสมัยอยุธยาตอนปลายมีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์คือ เป็นวัดที่ เจ้าแม่วัดดุสิต พระนมของสมเด็จพระนารายณ์ และเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ได้บุรณะปฏิสังขรณ์ และเป็นวัดทีมีที่ตั้งใกล้กับตำหนักเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นตำหนักที่สมเด็จพระนารายณ์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อเป็นที่พำนักแก่พระนมของพระองค์
                           วัดราชประดิษฐาน อยู่ริมคลองประตูข้าวเปลือก ฝั่งตะวันตก ถนนอู่ทอง ตำบลหัวรอ สร้างในสมัยกรุงศรีอโยธยาตอนต้น พระศรีศิลป์ พระราชโอรสในสมเด็จพระไชยราชาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์มีพระชันษาได้ประมาณ ๑๔ พรรษา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงให้ออกผนวชเป็นสามเณร เป็นวัดที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเฑียรราชาทรงผนวชอยู่ และเมื่อก่อนเสียกรุง ใน พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต (ขุนหลวงหาวัด) ซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดประดู่โรงธรรม นอกพระนครก็ได้เสด็จมาประทับอยู่ ณ วัดนี้ ก่อนถูกกวาดต้อนไปอังวะภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐

                                                                                ๕๖
                       วัดขุนเมืองใจ เป็นวัดที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในสมัยกรุงศรีอโยธยาพระมหาเจดีย์ของวัดขุนเมืองใจนี้เป็นหลักของพระนครศรีอโยธยาด้วยแห่งหนึ่ง
                            วัดมลฑป ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวังหน้า(วังจันทรเกษม หรือ พระราชวังบวรสถานมงคล  )  ทางทิศตะวันตกติดแม่น้ำป่าสัก  ทางทิศเหนือติดแม่น้ำลพบุรีในเขตหัวรอ  กรุงอโยธยา   ด้านหน้าของวัดหันสู่ทิศตะวันออกตามคตินิยมดั้งเดิมไม่ได้หันตามแม่น้ำ  รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา (.๒๒๓๑ - ๒๒๔๖อ้ายธรรมเถียร ชาวมอญอดีตข้าหลวงของเจ้าฟ้าอภัยทศ  พระราชอนุชาสมเด็จพระนารายณ์ ได้ก่อกบฎขึ้นในแขวงเมืองนครนายกแล้วปลอมตัวให้เหมือนเจ้าฟ้าอภัยทศ  ยกทัพเข้ามากรุงศรีอโยธยา  โดยมาตั้งมั่นอยู่ที่ฟากวัดมณฑป ตรงทำนบหน้าพระราชวังบวรสถานมงคล  พระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้ทหารยิงปืนใหญ่จากฝั่งวังหน้าถูกช้างตัว อ้ายธรรมเถียรตกจากหลังช้างบาดเจ็บสาหัสส่วนประกอบที่สำคัญของวัดนี้คือเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมสูง  ก่ออิฐไม่สอปูน อิฐที่ใช้เป็นอิฐผสมเปลือกข้าว  ทั้งองค์แล้ว ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมณฑป
                           วัดประดู่ทรงธรรม  ที่ตั้งของวัดมีต้น ประดู่ขึ้นอยู่จำนวนมากอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมือง ภูมิประเทศโดยรอบทั่วไปเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ด้านทิศตะวันตกมีลำคูเล็ก ๆ ชาวบ้านเรียกว่า คลองประดู่ที่เชื่อมแม่น้ำป่าสักสายใหม่เข้ามาภายในวัดจนถึงเขตพุทธาวาส มีลักษณะเป็นนทีสีมาล้อมรอบกำแพงแก้ว
สร้างขึ้นตอนต้นของการสร้างพระนครในปีพ.ศ. ๒๑๖๓ พระภิกษุสงฆ์ของวัดประดู่๘รูป ได้ช่วยเหลือพระเจ้าทรงธรรมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาหลบหนีจากการก่อกบฏของพวกญี่ปุ่นที่หมายปลงพระชนม์ชีพ ครั้งฝ่ายมหาอำมาตย์พอคุมพลได้ก็ไล่รบญี่ปุ่นล้มตายและแตกไปจากพระราชวัง ต่อมาพระมหาอำมาตย์มีความชอบดังนี้จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ (ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าปราสาททอง)ในคราวที่พระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร ทรงผนวชและพำนักที่วัดประดู่ทรงธรรมนี้
                             วัดเชิงท่าหรือวัดตีนท่าหรือวัดโกษาวาส วัดคลัง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมืองริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำลพบุรี  ใกล้กับคูไม้ร้องซึ่งเป็นอู่เก็บเรือพระที่นั่ง  ที่ตั้งวัดนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้อมท้ายสนมและปากคลองท่อ  ซึ่งเป็นท่าข้ามเรือของฝั่งเกาะเมืองมาขึ้นฝั่งที่วัดเชิงท่า  ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกษาปานเป็นราชทูต  กลับจากประเทศฝรั่งเศสแล้วได้ปฏิสังขรณ์วัดนี้และเปลี่ยนชื่อเป็น  วัดโกษาวาสในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาลงมาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ บริเวณวัดนี้คงจะเป็นที่รวบรวมหญ้า เพื่อนำข้ามฝั่งไปให้ช้างม้าในวัง  จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  วัดติณในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  ได้มีการปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้งหนึ่ง  วัดโกษาวาสแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  วัดคลัง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี  ขณะพระชนมายุได้ ๙ พรรษา  เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากให้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์ทองดี  ให้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทย  ขอม และคัมภีร์พระไตรปิฎก  เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓  พรรษา  ในวันหนึ่ง  นายสินคิดตั้งตนเป็นเจ้ามือบ่อนถั่ว  ชักชวนบรรดาศิษย์วัดเล่นการพนัน  พระอาจารย์ทองดีทราบเรื่องจึง
                                                                                        ๕๗
ลงโทษทุกคน  เฉพาะนายสินเป็นเจ้ามือถูกลงโทษหนักมากกว่าคนอื่น  ให้มัดมือคร่อมกับบันไดท่าน้ำประจานให้เข็ดหลาบ  นายสินถูกมัดแช่น้ำตั้งแต่เวลาพลบค่ำ  พอดีเป็นช่วงเวลาน้ำขึ้น  พระอาจารย์ทองดีไปสวดพระพุทธมนต์ลืมนายสิน  จนประมาณยามเศษ  พระอาจารย์นึกขึ้นได้จึงให้พระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นอันเตวาสิก  ช่วยกันจุดไต้ค้นหาก็พบนายสินอยู่ริมตลิ่ง  มือยังผูกมัดติดอยู่กับบันได  แต่ตัวบันไดกลับหลุดถอนขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์  เมื่อพระภิกษุสงฆ์ช่วยกันแก้มัดนายสินแล้ว พระอาจารย์ทองดีจึงพาตัวนายสินไปยังอุโบสถให้นั่งลงท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์  แล้วพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายสวดพระพุทธมนต์ด้วยชัยมงคลคาถาเป็นการรับขวัญต่อมาเมื่อนาสินเรียนจบการศึกษา  เจ้าพระยาจักรีก็ได้นำไปถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในราชสำนักสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  จนอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้อุปสมบทอยู่กับอาจารย์ทองดี  ณ วัดโกษาวาสแห่งนี้ บวชอยู่นานถึง๓ พรรษาในระหว่างนั้น  นายทองด้วง  พี่ชายนายบุญมาสหายกับสมเด็จพระเจ้าตาก  ขณะนั้นก็บวชอยู่  ณ วัดสุวรรณดาราม ด้านป้อมเพชร
                          วัดพระญาติ   เป็นวัดที่สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งสร้างราชธานี เดิมเรียกว่า วัดพบญาติ ครั้งแผ่นดินอโยธยาก่อนกรุงเทพทราวดีพระราชาพระองค์หนึ่งประพาสจากวัง(ตรงวัดอโยธยา)มาถึงตำบลหนึ่งพบหญิงสาวนางหนึ่งมีผิวพรรณหน้าตาดี เป็นที่พอพระทัยจึงขอหญิงสาวนั้นเข้าวังและได้อภิเษกเป็นมเหสี อยู่ต่อมาจึงพามเหสีเสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่และญาติของมเหสีที่หมู่บ้านนั้น   ราชสำนักจึงจัดพลับพลาที่ประทับมีบรรดาญาติของพระมเหสีพากันมาเข้าเฝ้าและสนทนากับมเหสีและพระราชา ครั้นเสด็จกลับพระราชาจึงให้ถวายพลับพลาที่ประทับเพื่อการศาสนา จึงโปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้น ณที่ตรงนั้น ตั้งชื่อว่า "วัดพบญาติ" และเปลี่ยนเป็น "วัดพระญาติการาม"
                             วัดศาลาปูน  ตั้ง อยู่ริมคลองคูเมืองด้านทิศเหนือของเกาะเมือง (เดิมคือแม่น้ำลพบุรี) มีฐานะเป็นพระอารามหลวง ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสมัยอโยธยา
                             วัดวรโพธิ์ เดิมชื่อ วัดระฆัง ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดวรเชษฐาราม ใกล้กับวัดโลกยสุธาราม เป็นวัดสำคัญมาแต่อดีตโดยเป็นวัดที่ประทับของพระสังฆราชในสมัยอโยธยา พระเจ้าทรงธรรมได้ผนวชที่วัดแห่งนี้ โดยได้สมณศักดิ์เป็น พระพิมลธรรมอนันตปรีชา  ต่อมาในสมัย พระเจ้าบรมโกศ ได้มีการปลูกต้นโพธิ์ ซึ่งได้จากเกาะลังกา คราวที่คณะสงฆ์ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา และได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดวรโพธิ์ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา                                                          
                               วัดส้ม   เป็นวัดเล็กๆ  ตั้งอยู่ริมคลองฉะไกรใหญ่  (คลองท่อ)ใกล้วัดสุวรรณดาราม วัดส้มเป็นวัดเล็กๆ ราษฎร์ที่มีใจใฝ่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้สร้างขึ้นไว้ในอาณาบริเวณที่ครอบครองของตนเองที่เป็นคหบดีในสมัยนั้น เพราะ ย่านคลองฉะไกรใหญ่หรือคลองท่อเป็นย่านการค้า ขายที่ใหญ่และสำคัญเปรียมเสมือนตลาดศูนย์การค้าเช่นตลาดจตุจักรในปัจจุบัน
                                                                                         ๕๘
                                 วัดแม่นางปลื้ม  หรือ วัดส้มปลื้มสร้างมาก่อนกรุงศรีอยุธยา กล่าวกันว่า เดิมเรียกว่า วัดท่าโขลง อีกหนึ่งวัดโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่คลองเมือง ตรงข้ามตลาดหัวรอ เป็นวัดที่ เมื่อก่อนเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ เคยเป็นวัดที่ตั้งค่ายของพม่าค่ายหนึ่ง ยังมีเนินค่ายปรากฏอยู่ชาวบ้านเรียกกันว่า"โคกพม่า"
                                 วัดสามวิหารเป็น วัดที่สร้างในสมัยอโยธยาตอนต้นในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเรียกว่า วัดสามพิหารและกล่าวถึงเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิว่า สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาโดยผ่านโพธิ์สามต้นมาทุ่ง เพนียด เสด็จยืนช้าง ณ วัดสามวิหาร และ พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดนี้ก็เป็นที่ตั้งค่ายพม่าค่ายหนึ่ง ภาย ในวัดประกอบด้วยเจดีย์ประธานทรงกลมขนาดใหญ่เป็นเจดีย์สมัยอโยธยาตอนต้น ได้รับอิทธิพลศิลปะสุโขทัย โบสถ์และวิหาร ๒ หลังหลังหนึ่งประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ตั้งเรียงกันอยู่ทางด้านหน้าของเจดีย์
                            วัดแค หรือ วัดร่างแค  หรือวัดท่าแค  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมืองอยุธยา  ซีกด้านตะวันออกของคลองสระบัวบริเวณพื้นที่เดิมเรียกว่า  เกาะทุ่งแก้ว วัดร่างแคนี้  เป็นที่ตั้งของชุมชนลาวเหนือ (ล้านนา) เป็นวัดแห่งแรกที่หลวงพ่อทวดเคยมาพำนักอยู่    ครั้งมาถึงกรุงศรีอโยธยาสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถครองราชย์ ที่ท่านมาพำนักอยู่ เพื่อไปศึกษาธรรมที่วัดลุมพลีนาวาส  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก   ก่อนจะย้ายไปพำนักกับสมเด็จพระสังฆราชในเวลาต่อมา                                                                                                 
                              วัดลุมพลีนาวาส  นี้อยู่ในต.ลุมพลี นอกกรุงอโยธยา เป็นสถานที่พักทัพทั้งทัพอโยธยาและทัพพม่าเช่นครั้งสมเด็จพระนเรศวรราชาจัดทัพไปรบตองอู
                           วัดสามปลื้มสร้างในสมัยอโยธยาตอนต้นส่วน เจดีย์วัดสามปลื้มสร้างในสมัยพระนารายณ์มหาราช โดยมารดาของเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาปาน (ปาน) เป็นแม่นมของพระนารายณ์มหาราช เรียกกันว่าเจ้าแม่ดุสิต (บัว) ดีใจที่ลูกชายไปรบแล้วชนะศึกสงคราม ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จึงสร้างเจดีย์วัดสามปลื้มขึ้น (ปัจจุบันเป็นเจดีย์กลางวงเวียนถนนตั้งบนเกาะกลางถนน ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำป่าสักเข้าเกาะเมือง)
                                วัดหัสดาวาส   ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองด้านทิศเหนือ ใกล้วัดหน้าพระเมรุ พระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าบุเรงนองใช้เป็นที่เจรจาที่สงบศึก ตรงระหว่างวัดหัสดาวาสกับวัดหน้าพระเมรุ ดังนั้น วัดหัสดาวาสน่าจะสร้างมาก่อนสมัยพระมหาจักรพรรดิ ภายในวัดมีเจดีย์แปดเหลี่ยมเป็นประธาน วิหารตั้งอยู่ด้านหน้าและมีกำแพงแก้วล้อมรอบเจดีย์ทรงกลมบนฐานสี่เหลี่ยมทรงสูงมาบังหน้าวิหารเจดีย์องค์นี้ มีประติมากรรมรูปช้างและเสาตามประทีปล้อมรอบการทำเจดีย์ช้างล้อมแสดงให้เห็น ถึงอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยมีการสร้างเจดีย์รายเพิ่มเติมขึ้นอีกในเวลาต่อมา
                                                                                   ๕๙                    
 วัดสุดท้ายที่ขอกล่าวถึงคือวัดโคกพระยา (วัดคลองสระบัว)สร้างขึ้นพร้อมการก่อสร้างพระนคร ใกล้กับวัดหน้าพระเมรุราชิการาม ประกอบด้วย เจดีย์ประธาน เจดีย์ราย เจดีย์ทรงปรางค์ วิหาร เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่ง คล้ายสุสานหลวงแต่เป็นที่ฝังพระศพของราชวงศ์กลุ่มอำนาจเดิม ทุกยุคทุกสมัยของอาณาจักรอโยธยา เมื่อมีการปราบดาภิเษก รัฐประหารเกิดขึ้นมัก ใช้เป็นสถานที่สำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์ครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร สำเร็จโทษพระยาทองลัน ครั้งต่อมา ขุนวรวงศาเจ้าแผ่นดิน คิดการกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิต กาลต่อมาพ.ศ.๒๑๔๕ พระพิมลเข้าพระราชวังได้ก็ให้จับกุมเอาพระศรีเสาวภาคสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์(พ.ศ.๒๒๖๒พระศรีสุธรรมราชากับพระนารายณ์ราชนัดดา กุมเอาเจ้าฟ้าไชยไปสำเร็จโทษแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๗ (พระศรีสุธรรมราชา)ถูกรัฐประหารโดยเสนาบดีถูกกุมตัวไปสำเร็จโทษและจับพระเจ้ามิ่งขวัญสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ในพระตำหนักหนองหวาย แล้วให้เอาพระศพออกไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยา แผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (พระเจ้าท้ายสระ)สำเร็จโทษพระองค์ดำ แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราช (กรมขุนพรพินิต)สำเร็จโทษเจ้าสามกรม เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วให้นำเอาศพทั้งสามไปฝัง ณ วัดโคกพระยา ตามโบราณราชประเพณี               
                                                                





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น